พาราสาวะถี

คงสงสัยกันว่าคำโอดครวญผ่านการเป็นประธานในงานมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ที่เมืองทองธานีเมื่อวานนี้ (1 ธันวาคม) ของ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่บอกว่า อยากเป็นนายกรัฐมนตรีที่นามสกุลหลีกภัย แต่กลับเจอภัย ใครจะสงสารกันบ้าง


คงสงสัยกันว่าคำโอดครวญผ่านการเป็นประธานในงานมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ที่เมืองทองธานีเมื่อวานนี้ (1 ธันวาคม) ของ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่บอกว่า อยากเป็นนายกรัฐมนตรีที่นามสกุลหลีกภัย แต่กลับเจอภัย ใครจะสงสารกันบ้าง เพราะภัย 4 อย่างที่บอก ทั้งภัยเศรษฐกิจ ภัยความมั่นคง ภัยสังคม และภัยธรรมชาติ ถามว่า มีรัฐบาลไหนที่ไม่เจอกันบ้าง ต่างกันแค่หนักหรือไม่เท่านั้น

สิ่งสำคัญยิ่งเจองานหนักมากเท่าไหร่ นักบริหารที่มีฝีมือจะไม่ปริปากบ่น หรือเรียกร้องขอความเห็นใจ เพราะทุกวิกฤตหรือเป็นโอกาสที่จะได้แสดงบทบาทของความเป็นผู้นำ โชว์ศักยภาพในการแก้ไขปัญหา ก่อนหน้านั้น หลังจากคนละครึ่งพลัสได้เดินเครื่องยังคุยฟุ้งอยู่ว่ารัฐบาลกำลังเร่งดำเนินมาตรการ Quick Big Win พร้อมเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นในระดับหนึ่งเทียบกับอายุรัฐบาล 4 เดือน แต่พอมาเจอสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ กลับคร่ำครวญเหมือนตัวเองตกเป็นผู้กระทำ

มันไม่ใช่เคราะห์กรรมหรือใครจะมาให้ร้าย โจมตีรัฐบาล แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้น มันเป็นบทพิสูจน์ความสามารถในการบริหารจัดการ หากพักวางเรื่องการเมือง ไม่ห่วงคะแนนเสียงที่จะหล่นหายไปกับน้ำท่วม แล้วตั้งสติเร่งแก้ไขปัญหาเชื่อว่ามันจะไม่เลวร้ายถึงขนาดนี้ เนื่องจากความกังวลถ้ามีการแบ่งงาน กระจายอำนาจไปให้รัฐบาลต่างพรรค เกรงว่าจะนำมาซึ่งความเสียหายทางการเมืองของพรรคตัวเอง ผลที่ได้มันจึงออกมาอย่างที่เห็น

เมื่อพลาดในแง่ของการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ความตายที่เกิดขึ้นของคนหลักร้อย เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ไม่อาจจะแก้ตัวใด ๆ ได้ คำขอโทษคนทั้งประเทศคงตอบแทนพี่น้องผู้เดือดร้อนไม่ได้ว่าให้อภัยหรือไม่ อยู่ที่มาตรการช่วยเหลือ เยียวยาที่จะต้องทุ่มกันอย่างเต็มที่ วันนี้ การประกาศไทม์ไลน์ประชาชนต้องได้กลับบ้านภายในกี่วัน ต้องทำความสะอาด ฟื้นฟูให้แล้วเสร็จภายในกี่วัน มันเป็นเรื่องปลายเหตุ และ ไม่ได้สะท้อนความเด็ดขาด หรือภาวะความเป็นผู้นำแต่อย่างใด

ในทางกลับกัน มันจะทำให้ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่มีแรงกดดัน ส่วนผู้ประสบภัยในเรื่องของทรัพย์สิน บ้านเรือน ธุรกิจต่าง ๆ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องกำหนดมาตรการในการช่วยเหลืออยู่แล้ว ซึ่งไม่มีทางเลือกอื่นที่ จะต้องเพิ่มจำนวนเม็ดเงินเพื่อลดความไม่พอใจของประชาชน ที่จะเป็นฐานเสียงสำคัญในการเลือกตั้งครั้งหน้าให้มากที่สุด สำหรับผู้ที่ญาติเสียชีวิตเป็นเรื่องของความรู้สึก เม็ดเงินที่จะเยียวยาไม่ว่าจะกี่ล้านบาทมันคงทดแทนสิ่งที่คนเหล่านั้นสูญเสียไปไม่ได้

ขณะเดียวกัน ฝ่ายการเมืองตรงข้ามคงต้องชั่งใจกันด้วยเหมือนกัน จะใช้ประเด็นนี้มาโจมตี ดิสเครดิตฝ่ายกุมอำนาจหรือไม่ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทางที่ดีที่สุดคือ หาหนทางในการช่วยเหลือ ดูแลความรู้สึกของผู้สูญเสีย และผู้ที่ได้รับผลกระทบซึ่งมีจำนวนมหาศาลกันจะดีกว่า การเมืองข้างหน้าเป็นเรื่องการตัดสินใจของประชาชน รู้กันอยู่แล้วในแวดวงการก้าวขึ้นมาบริหารประเทศด้วยวิธีการเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติทางการเมือง ดังนั้น เป้าหมายข้างหน้าในฐานะคู่แข่งย่อมรู้ดีว่าคู่ต่อสู้จะงัดไม้ไหนมาซื้อใจประชาชน

การที่เหล่าบ้านใหญ่ต่างพากันมาสวามิภักดิ์คือสัญญาณที่ชัดเจน ประกอบกับการเดินเกมทั้งโยกย้ายข้าราชการ ดึงคดีสำคัญ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อการเลือกตั้ง ต่าง เหล่านี้ หากไม่มั่นใจในพลังที่สนับสนุนจริง ไม่มีใครกล้าทำกัน ในทางกลับกันหากพรรคแกนนำเป็นเพื่อไทย ทำอย่างที่เป็นอยู่รับรองว่า บรรดานักร้องได้เดินสายทำงานกันสนุกสนาน เช่นเดียวกับองค์กรที่รับเรื่องร้องเรียน ก็จะพร้อมใจกันเดินหน้าตรวจสอบอย่างแข็งขัน

การเมืองภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน กระบวนการต่อรองต้องยอมรับว่าได้เปลี่ยนไปจากดีลที่ล่มกันไปก่อนหน้าพร้อม กับการล่มสลายของรัฐบาลเพื่อไทย ทุกกระบวนท่าล้วนแต่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ และพลังที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือกดข่มอีกฝ่ายที่เป็นคู่เจรจา หากเล่นเกมกดดันกันเกินไปสุดท้ายจะหนีทางตันคือการถูกอำนาจนอกระบบเข้ามาจัดการการเมืองไม่พ้น นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่าที่เพื่อไทยเฮ้ว จะยื่นซักฟอกก่อนหน้า เอาเข้าจริงเมื่อเปิดสมัยประชุมสภา 12 ธันวาคมนี้ ยังคงจะเดินหน้ากันหรือไม่

หากจะอ้างเงื่อนไขตามการร้องขอของพรรคประชาชนคือ ทอดเวลารอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านการพิจารณาวาระ 3 ไปก่อน พึงระวังว่ามันจะไม่ทันการณ์ พรรคนายใหญ่ก็จะกลายเป็นฝ่ายเสียหายแทน เท่ากับว่า เป็นการขยับเพื่อให้เกิดการต่อรองทางการเมือง ทั้งที่ หากจะยื่นซักฟอกในแง่ของข้อมูลที่มีอยู่แล้วก่อนหน้า มาผนวกเข้ากับความผิดพลาด ล้มเหลวในการแก้ไขน้ำท่วมภาคใต้ ถือว่าเป็นจังหวะที่เหมาะหากจะลงมือทางการเมือง

เมื่อไม่ทำนั่นเท่ากับว่า ที่กระทืบเท้าขู่มานั้นไม่ต่างจากการเคาะกะลา ถามว่าจำเป็นหรือไม่สำหรับพรรคเพื่อไทย ช่วงเวลาที่บริหารประเทศแม้จะไม่เต็ม 2 ปีดี ก็ถือว่ามากพอแล้ว ในแง่ของการต้องการสะสมพลังในการเลือกตั้ง โดยเฉพาะเหล่านักเลือกตั้งทั้งหลาย หากไปไล่ถามหน่วยงานต่าง ๆ บรรดาเจ้าหน้าที่ ข้าราชการทั้งหลายคงมีคำตอบไม่ต่างกัน ลิ่วล้อของเพื่อไทยยุคใหม่ไม่เหมือนในอดีต ไม่รู้ว่าเพราะความอดอยากปากแห้งจากการที่ไม่ได้เข้าสู่อำนาจบริหารนานนับสิบปีหรืออย่างไร จึงทำให้เกิดภาพเช่นนี้

นั่นจึงเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้พรรคคู่แข่งเมื่อเข้ามากุมอำนาจ ย่อมรู้จุดอ่อนสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรอง หวังผลทั้งแง่ความมั่นคงของเสถียรภาพ ณ ปัจจุบัน รวมไปถึงหว่านพืชเพื่อหวังผลถึงการเลือกตั้งครั้งหน้ากับการย้ายคอกด้วย ว่ากันว่า ถ้าพรรคสีน้ำเงินเป็นที่หมายของเหล่าบ้านใหญ่ บรรดาพวกที่ไม่สังกัดกลุ่ม ก๊วนหรือตั้งมุ้ง ก็จะถูกกวาดต้อนไปสังกัดกล้าธรรม ภายใต้การดูแลของ ธรรมนัส พรหมเผ่า รอดูอีกไม่กี่อึดใจ จะมีการเผยโฉมกันแล้วว่าเหล่าลิ่วล้อที่แปรพักตร์จากนายใหญ่จะมีกี่มากน้อย

อรชุน

Back to top button