
พาราสาวะถี
ท่วงทำนองการให้สัมภาษณ์ของ อนุทิน ชาญวีรกูล ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ยังคงเป็นไปตามบุคลิกที่เคยเป็นมาคือ ปากไว พกความมั่นใจมาเต็มกระเป๋า
ท่วงทำนองการให้สัมภาษณ์ของ อนุทิน ชาญวีรกูล ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ยังคงเป็นไปตามบุคลิกที่เคยเป็นมาคือ ปากไว พกความมั่นใจมาเต็มกระเป๋า วาทกรรมที่ตอบคำถามว่าด้วยปมภาพถ่ายคู่กับ เบนจมิน เมาเออร์ เบอร์เกอร์ หรือ เบน สมิธ นักธุรกิจที่ถูกสหรัฐฯ จัดอยู่ในกลุ่มบุคคลเสี่ยงเกี่ยวข้องขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ และอยู่ในเครือข่ายที่ปปง.เพิ่งประกาศอายัดทรัพย์สินไป ด้วยคำพูดที่ว่า “You know me little go” หรือ “รู้จักผมน้อยไป” เป็นภาพสะท้อนของความเชื่อมั่นในแบ็กอัพ จึงทำให้เกิดความทะนงในตัวเองว่า ไม่มีใครทำอะไรข้าได้
ในมิติทางการเมืองก็คิดว่าถือไพ่เหนือกว่าทั้งพรรคประชาชนและเพื่อไทย ด้วยปมการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จ่อจะเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในอีกสองวันข้างหน้า เป็นผลทำให้พรรคนายใหญ่ไม่กล้าที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ นั่นทำให้ยิ่งมั่นใจไปใหญ่ว่า มีเวลาเหลือมากพอต่อการที่จะจัดระเบียบ แก้ตัวจากปัญหาความผิดพลาดในการรับมือน้ำท่วมภาคใต้ โดยเฉพาะพื้นที่หาดใหญ่และจังหวัดสงขลา อันเป็นเป้าหมายสำคัญในการเลือกตั้ง
ขณะเดียวกัน การอมภูมิอ้างว่า รู้ใครมือคนปล่อยภาพดังกล่าว และโยงไปถึงเหตุผลที่ทำให้ถูกกดดันต้องพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพราะไม่ยอมให้สัญชาติกันเบน สมิธ ช่วงปลายรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ย่อมเป็นการอ้างเพื่อหวังดิสเครดิตพรรคเพื่อไทย และ ทำให้สังคมเกิดความสงสัยว่าใครกันแน่ที่มีส่วนพัวพันหรือใกล้ชิดกันนักธุรกิจรายดังว่า แต่ลืมไปว่าภาพจำของประชาชนย่อมมองสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นสำคัญ
การปรากฎภาพเช่นนี้ไม่ได้มีเฉพาะอนุทิน แต่รวมไปถึง เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วย ซึ่งรายหลังชี้แจงว่าเคยเจอในฐานะที่เป็นอาจารย์ไปบรรยายพิเศษของหลักสูตรสร้างคอนเน็กชันหนึ่ง การถูกขอถ่ายรูปร่วมเฟรมเป็นเรื่องปกติ แต่กรณีของเสี่ยหนูภาพถ่ายที่สาธารณชนเห็น แสดงถึงความคุ้นเคยมากพอที่จะนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน แม้จะอ้างว่ารู้จักจากเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนก็ตาม
ความเห็นของ กรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวชวนให้ขีดเส้นใต้ Connection = Corruption คำชี้แจงของนายกฯ และเอกนิติต่อภาพดังกล่าว ถ้าเพียงแค่นั้น ก็ไม่มีอะไรผิด แต่สะท้อนให้เห็นความจริงว่า ระบบการสร้างคอนเน็กชัน และการสร้างคอนเน็กชันอย่างเป็นระบบของสังคมไทยนั้น น่ากลัวและอันตรายอย่างไร ซึ่งตนและหลายคนพูดหลายครั้งว่ารัฐควรยกเลิกหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงต่าง ๆ เสียที ส่วนหลักสูตรของเอกชน เจ้าหน้าที่รัฐก็ควรหลีกเลี่ยงที่จะเข้าร่วม
สิ่งที่น่าเสียดายแทนท่านผู้นำก็คือ การไม่เปิดเผยก่อนหน้าว่ารู้จักและเคยร่วมสังคมกับบุคคลคนนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นบุคคลต้องสงสัยเรื่องการฟอกเงิน นั่นจึงทำให้คิดกันต่อไปว่า ประเทศไทยเราควรมีกฎหมายเหมือนสิงคโปร์ที่ระบุว่าเจ้าหน้าที่รัฐต้องเปิดเผยการพบปะกับนักธุรกิจต่างชาติทุกกรณี ในยุคที่มีปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันระดับสุดขีด ต้องถามตัวเองว่า ตกลงเราจะเอาจริงกันไหมกับเรื่องนี้ แน่นอนว่า คำตอบที่ได้คือ หูทวนลม ยิ่งเรื่องหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงต่าง ๆ
ถ้าสังเกตให้ดีการก้าวขึ้นมาเป็นนายกฯ ของอนุทินหนนี้ นอกเหนือจากพลังวิเศษแล้ว ยังเป็นการใช้คอนเน็กชันจากที่ตัวเองได้เป็นผู้ร่วมหลักสูตรโดยเฉพาะ วปอ. ที่มีทั้งผู้นำเหล่าทัพ นักธุรกิจชั้นนำ และบรรดาสื่ออาวุโสหลายสำนัก ต่างพากันยินดีปรีดาอย่างออกนอกหน้า นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า หลักสูตรสร้างคอนเน็กชันแบบนี้ใครยกเลิกก็บ้าแล้ว ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างสายสัมพันธ์อันดีระหว่างชนชั้นนำเท่านั้น แต่ยังเป็นช่องทางสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำกับเจ้าของหลักสูตร และ ต่อยอดสร้างคอนเน็กชันนำไปสู่ผลประโยชน์ร่วมอย่างมหาศาลด้วย
อย่างไรก็ตาม หนึ่งภาพกับคำอธิบายที่มุ่งไปในมิติทางการเมืองจากบุคคลที่ปรากฏในภาพนั้น บทความของ พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ก็ชี้ชวนให้สังคมตั้งคำถามต่อว่า แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าบุคคลในภาพมีธุรกิจที่ผิดกฎหมาย แต่การที่ผู้นำรัฐบาลปรากฏตัวในลักษณะที่ดูเป็นกันเองและเป็นส่วนตัวกับบุคคลเหล่านั้น ก็เพียงพอที่จะสร้างการรับรู้ว่ามีความสัมพันธ์พิเศษระหว่างอำนาจรัฐกับอำนาจทุน ในขณะที่รัฐบาลประกาศนโยบายปราบปรามธุรกิจผิดกฎหมาย โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับทุนต่างชาติในลักษณะที่ไม่โปร่งใส ภาพนี้กลับสร้างความรู้สึกว่าผู้นำเองกลับมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มที่อยู่ในความสงสัยนั้น
ไม่เพียงแต่ประเด็นนี้ ผลพวงจากความล้มเหลวต่อการรับมือน้ำท่วมภาคใต้ ยังมีสัญญาณของความสั่นคลอนในเครือข่ายชนชั้นนำ นำมาซึ่งความเงียบของกลุ่มที่ควรจะออกมาปกป้องหรือสนับสนุนรัฐบาล ในวิกฤตครั้งนี้ แม้ว่ารัฐบาลจะถูกโจมตีอย่างหนัก แต่กลุ่มนักธุรกิจที่มักจะออกมาให้กำลังใจหรือแสดงความเชื่อมั่นกลับเลือกที่จะเงียบ หรือพูดไปในลักษณะที่คลุมเครือและระมัดระวัง ซึ่งก็สอดคล้องกับข่าวที่ได้มาก่อนหน้า เหล่าหัวขบวนอนุรักษ์นิยมต่างพากันกุมขมับจะหาทางแก้เกม กระเตงกันให้รอดพ้นวิกฤตไปจนถึงการดันก้นให้เป็นนายกฯหลังเลือกตั้งครั้งหน้าได้อย่างไร
น่าสนใจจากมุมของพิชาย รัฐบาลเด็กเส้นกำลังอยู่ในสภาวะที่เรียกได้ว่า “วิกฤตสามชั้น” คือ วิกฤตนโยบาย หรือความล้มเหลวในการจัดการปัญหาสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะวิกฤตภัยพิบัติที่เป็นการทดสอบความสามารถของรัฐอย่างแท้จริง วิกฤตเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งเป็นการสูญเสียการควบคุมภาพลักษณ์และเรื่องเล่าสาธารณะ จนกลายเป็นฝ่ายถูกกำหนดความหมายโดยผู้อื่น และ วิกฤตความเชื่อมั่น หรือการสูญเสียความเชื่อมั่นจากทั้งประชาชนและชนชั้นนำ ซึ่งเป็นทุนทางการเมืองที่สำคัญที่สุด แต่เชื่อได้ว่า ด้วยแบ็กอัพอันทรงพลังยังไงก็ไม่ถูกตัดหางปล่อยวัดแน่นอน
อรชุน