พาราสาวะถี

มันเป็นจังหวะปะเหมาะที่ไม่ต้องทำอะไรแค่ปล่อยให้ฝ่ายความมั่นคงและกองทัพไปจัดการ กับปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชา


มันเป็นจังหวะปะเหมาะที่ไม่ต้องทำอะไรแค่ปล่อยให้ฝ่ายความมั่นคงและกองทัพไปจัดการ กับปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชา การประกาศท่าทีแข็งกร้าวของ อนุทิน ชาญวีรกูล เรื่องไม่หยุดยิงและไม่เจรจาใด ๆ ถือเป็นบทที่ต้องเล่น เป็นโอกาสอันดีที่จะเรียกคะแนนนิยมกลับคืนมาจากกระแสรักชาติ หลังจากเสียคะแนนไปจมกับสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับปฏิบัติการณ์ทางทหารที่เปิดแนวรบตั้งแต่ 4 จังหวัดอีสานใต้ไปจนถึงภาคตะวันออกจะยึดคืนพื้นที่ซึ่งฝ่ายเขมรรุกล้ำเข้ามาครอบครองได้หรือไม่

แต่ต้องไม่ลืมว่า การเดินหน้าสู้รบนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เป้าหมายของกองทัพผ่านคำประกาศของ “เสธ.ปูด้วง” พลเอกชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก คือ “กองทัพบกจะทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพขีดความสามารถทางการทหารไปอีกยาวนาน เพื่อความปลอดภัยของลูกหลานของเรา” ซึ่งการจะเดินไปสู่เป้าหมายนั้นต้องแลกด้วยความเสี่ยงโดยเฉพาะเรื่องของกำลังพลจากการบาดเจ็บและเสียชีวิต ที่เวลานี้มีทหารกล้าพลีชีพไปแล้ว 5 นาย

ในทางทหารแง่ของการประเมินความสูญเสียแลกกับการรักษาอธิปไตยถือว่าเล็กน้อย และด้วยศักดิ์ศรีของทหารกล้าการตายในสนามรบคือความภาคภูมิใจ แต่คนที่อยู่ข้างหลังกับความรู้สึกเป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจจะต้องดูแลกันอย่างเต็มที่ สิ่งสำคัญมากไปกว่ากำลังทางทหารคงเป็นเรื่องความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ซึ่งมีการสู้รบ รวมไปถึงวิธีการตอบโต้ของฝ่ายตรงข้าม ที่ล่าสุด พบว่ามีการยิง BM-21 ตกใกล้โรงพยาบาลพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ สะท้อนภาพการสู้รบแบบเดิมของเขมรคือไม่เลือกเป้าหมาย หรืออาจจะจงใจโจมตีพื้นที่ที่เป็นพลเรือนของไทยเสียด้วยซ้ำ

เหล่านี้ถือเป็นข้อมูลที่ทางฝ่ายกองทัพต้องนำมาวิเคราะห์ เพื่อกำหนดแผนในการตอบโต้ไม่ใช่แค่การยึดกฎการใช้กำลัง ตอบโต้ด้วยความเหมาะสม ต้องลงลึกไปถึงความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามถือเป็นภัยที่จะคุกคามทั้งอธิปไตยและสร้างความสูญเสียอันใหญ่หลวงให้กับประเทศไทยหรือไม่ เชื่อว่าตำราการรบ หรือคู่มือที่ถือกันอยู่โดยเฉพาะสายเหยี่ยวทั้งหลาย ย่อมรู้ว่าจังหวะที่ดีที่สุดเพื่อทำให้กองทัพเขมรสิ้นสภาพ คือการโจมตีในช่วงจังหวะที่มีการเคลื่อนย้ายกำลังพล ไม่ปล่อยให้เข้าที่ตั้งอยู่ในสภาพพร้อมรบกับทหารไทย

เรื่องนี้ พลอากาศเอกประภาส สอนใจดี ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ได้ชี้แจงให้เห็นภาพ และน่าจะทำให้คนไทยอุ่นใจได้ การใช้กำลังทางอากาศในบางพื้นที่เป็นมาตรการที่ดำเนินการด้วยความจำเป็นเพื่อป้องกันภัยคุกคามต่อพื้นที่ชุมชนลดความเสี่ยงต่อชีวิตประชาชนและเจ้าหน้าที่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียชีวิตของพลเรือนผู้บริสุทธิ์อย่างที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติการภาคพื้น ที่จะรุกรบเพื่อให้ประสบผลสำเร็จในการยึดพื้นที่เป้าหมายได้ทั้งหมดหรือไม่

ถ้ามองการข่าวผ่านสื่อโดยเฉพาะทางโซเซียลมีเดีย อาจประเมินได้ว่าไทยอยู่ในฐานะกุมความได้เปรียบ แต่ประมาทเขมรไม่ได้ เพราะฝ่ายกองทัพเคยมีบทเรียนมาแล้วเมื่อคราวปะทะครั้งที่ผ่านมา ในทางยุทธวิธีการประเมินคู่ต่อสู้ต่ำจะทำให้เกิดความประมาท และทำให้ผิดพลาดในการวางแผนการรบได้ ยิ่งเวลานี้ ฮุน เซน น่าจะเป็นฝ่ายจนตรอกจากแรงกดดันทั้งสถานการณ์รบพุ่งที่ตกเป็นรอง ภาวะสนับสนุนการเงินมีปัญหาทั้งผลพวงจากการปิดด่าน และการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ ในฐานะเฒ่ามหาภัยที่เคยผ่านการเข่นฆ่ากันเองในเขมรมาแล้ว อาจใช้วิธีการที่เหนือความคาดหมายได้

อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์กันไปถึงจุดที่ว่า ท้ายที่สุด ฮุน เซน น่าจะเลือกวิธีรักษาชีวิตและอุ้มชูครอบครัวของตัวเองให้ปลอดภัย หนีไม่พ้นการอพยพทั้งตระกูลไปอยู่ต่างประเทศ มีความเป็นไปได้ว่าน่าจะไปซบจีน ซึ่งนักวิชาการด้านความมั่นคงก็มองว่าหากเป็นเช่นนั้นอาจจะหมายถึงการวางตัวบุคคลเพื่อให้อยู่บัญชาการสถานการณ์ และดูแลความเรียบร้อยภายในเขมรเอง ภายใต้การบริหารจัดการของพญามังกร เพื่อป้องกันให้สหรัฐอเมริกาฉวยโอกาส ผลักดันคนที่ตัวเองหนุนหลังอย่าง สม รังสี ผู้นำฝ่ายค้านที่ลี้ภัยมาสวมรอยแทน

นั่นเป็นการมองข้ามช็อตถึงความเป็นไปได้ แต่สถานการณ์เฉพาะหน้าคือต้องให้ทางกองทัพไทยควบคุมการรบให้ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดเสียก่อน พอเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ในมิติทางการเมืองทำให้บรรดานักเลือกตั้งที่เวลานี้กำลังถกกันในการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเรื่องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 2 ต่างเป็นกังวลว่า ถ้าอนุทินที่แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อการสู้รบกับเขมร สามารถฟื้นความเชื่อมั่นกลับมาได้ นั่นย่อมหมายถึง การยุบสภาอาจเกิดขึ้นทันทีหลังสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาสงบ ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจเดินไปไม่ถึงฝัน ค้างเติ่งกันแค่ผ่านความเห็นชอบในวาระ 2 ไปเท่านั้น

อ่านจากอาการของเสี่ยหนูล่าสุด ย้ำยุบสภาคืออำนาจของนายกฯ พร้อมเปรยด้วยว่าอาจยุบเร็วกว่าวันที่ 31 มกราคม 2569 ไทม์ไลน์เดิมที่เคยได้ประกาศไว้ และตอนนี้ก็มีการร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาเตรียมไว้พร้อมแล้ว แม้จะเป็นเรื่องทางธุรการที่ต้องเตรียม อาจมองเป็นการพูดเพื่อขู่ฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทย หรือฝ่ายค้ำอย่างประชาชน ไม่ให้มีการยื่นซักฟอกรัฐบาล แต่มากไปกว่านั้น น่าจะเป็นการส่งสัญญาณล่วงหน้า ถ้าเกิดการยุบสภาไม่ใช่การผิดเอ็มโอเอ แต่เป็นไปตามสถานการณ์ ตามความเหมาะสม ซึ่งไม่ได้หมายถึงบ้านเมืองต้องการรัฐบาลที่มั่นคง แต่เพราะพรรคสีน้ำเงินอยู่ในภาวะได้เปรียบที่สุดแล้วต่างหาก

อรชุน

Back to top button