เงินบาทแข็ง & รูเปียห์อ่อน

ถือว่าชัดเจน! คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากเดิม 1.50% มาเป็น 1.25%


ถือว่าชัดเจน! คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากเดิม 1.50% มาเป็น 1.25% จากการประเมินทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2569-2570 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง หลังจากครึ่งแรกปี 2568 การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลง ขณะที่ภาคส่งออกได้รับผลกระทบจากมาตรการทางภาษีสหรัฐฯ

ส่วนภาคการท่องเที่ยวทยอยฟื้นตัว ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ ตามราคาพลังงานและอาหารสดเป็นสำคัญ ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านดีมานด์มีจำกัด ช่วงภาวะเศรษฐกิจขยายตัวต่ำ ด้านสินเชื่อรวมหดตัวและคุณภาพสินเชื่อกลุ่มเปราะบางด้อยลง โดยเฉพาะ SMEs ถูกกดดันด้านสภาพคล่องจากทั้งปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อและการแข็งค่าของเงินบาท

ขณะที่ “ค่าเงินบาท” เคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยที่ระดับ ทำให้เงินบาทยังคงแข็งค่าสุดรอบ 4 ปี

วันเดียวกันธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) มีมติ “คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ที่ระดับ 4.75% มีเป้าหมายหลักเพื่อลดแรงกดดันที่มีต่อค่าเงินรูเปียห์ ท่ามกลางกระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกอย่างต่อเนื่อง

“เพอร์รี วาร์จีโย” ผู้ว่าการธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ระบุว่ามติดังกล่าวสอดคล้องกับความพยายามในการรักษาเสถียรภาพของค่าเงินรูเปียห์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และเดินหน้าเพิ่มประสิทธิผลของมาตรการผ่อนคลายทางการเงินที่ได้ประกาศใช้ก่อนหน้านี้

หลังการประกาศมติอัตราดอกเบี้ย ค่าเงินรูเปียห์เคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยที่ระดับ 16,700 รูเปียห์ต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ปรับตัวลง 0.1% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 6.15%

“ระยะต่อไปธนาคารกลางอินโดนีเซีย ยังประเมินโอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม”

เหตุผลดังกล่าว อ้างถึงการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อระดับต่ำ และความจำเป็นในการเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย ที่ถือเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การประกาศคงอัตราดอกเบี้ย ตอกย้ำให้เห็นว่า BI ให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพของค่าเงินเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติยังเทขายสินทรัพย์ของอินโดนีเซีย โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่ซบเซาและความเสี่ยงจากการใช้จ่ายภาครัฐสูงเกินไป

“ตลาดพันธบัตรอินโดนีเซีย” มีความเสี่ยงจะเผชิญภาวะเงินทุนไหลออกสุทธิรายปีเป็นครั้งแรกรอบ 3 ปี หลังจากกองทุนต่างชาติเทขายพันธบัตรมูลค่ากว่า 4,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ช่วงเดือนที่ผ่านมา และแรงเทขายตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติแตะระดับสูงสุดรอบ 1 เดือน

“ค่าเงินรูเปียห์” ยังอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ช่วงเดือนนี้ สวนทางกับสกุลเงินของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เงินบาทของไทยและริงกิตของมาเลเซียแข็งค่าขึ้น โดยตั้งแต่ต้นปีค่าเงินรูเปียห์อ่อนค่าลง 3.6% ถือเป็นสกุลเงินที่อ่อนค่ามากสุดเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย

ขณะเดียวกัน BI จะรอดูผลหลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวม 1.25% นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เพื่อให้มาตรการดังกล่าว ส่งผ่านเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญปัญหาดีมานด์ในประเทศชะลอตัวและการจ้างงานที่อ่อนแอ

“ความต้องการสินเชื่อคงอ่อนแอ” ภาคธุรกิจ ยังรอดูสถานการณ์และเลือกใช้เงินทุนภายในกิจการ ท่ามกลางต้นทุน การกู้ยืมยังอยู่ระดับสูง จนทำให้ผู้ว่าการ BI ต้องเรียกร้องให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง ขณะที่การเติบโตของสินเชื่อเดือนพ.ย.อยู่ที่ 7.74% ต่ำกว่าเป้าหมายทั้งปีระดับ 8-11%

Back to top button