TACC ไปได้สวย

ทิศทางผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2559 ของ TACC ยังเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1 เนื่องจากเข้าสู่ฤดูร้อน ทำให้ยอดขายชา และกาแฟเย็นในร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น


–คุณค่าบริษัท–

 

ทิศทางผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2559 ของ บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TACC ยังเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1 เนื่องจากเข้าสู่ฤดูร้อน ทำให้ยอดขายชา และกาแฟเย็นในร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น

สิ่งสำคัญ ตั้งแต่ต้นปี บริษัทได้รับโอกาสจาก 7-Eleven ให้เพิ่มจุดจำหน่ายกาแฟลาเต้ขึ้น 25% เป็น 5,000 แห่ง หลังจากสินค้าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ส่วน ชานม ชาเย็น และชามะนาว ในมุมกาแฟสด เติบโตตามการขยายจำนวนมุมกาแฟสดในร้านเซเว่นอีเลฟเว่นกว่าเท่าตัว โดยเพิ่มเป็น 2,300 จุด จากปีก่อนที่มีเพียง 1,000 จุด ขณะเดียวกันยอดขายชาเขียวเซนย่า ในประเทศกัมพูชาก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังจากมีการตั้งตัวแทนจำหน่ายในประเทศกัมพูชา

เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้รายได้และกำไรในไตรมาสที่ 1/59 เติบโตเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2559 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 284.46 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 223.20 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 23.92 ล้านบาท หรือ 0.04 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 16.35 ล้านบาท หรือ 0.14 บาทต่อหุ้น สาเหตุหลักมาจากอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทมีนโยบายในการมุ่งเน้นขายสินค้ากลุ่มที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงเพิ่มมากขึ้น

ที่น่าประทับใจอีกคือ เมื่อวิเคราะห์ฐานะทางการเงินเพื่อเป็นตัวแปรในการตัดสินใจต่อการลงทุน พบว่า ฐานะทางการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง เพราะ บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากถึง 735.82 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับหนี้สินหมุนเวียนเพียง 203.81 ล้านบาท ได้ค่า CURRENT RATIO อยู่ที่ระดับ 3.61 เท่า แสดงว่า สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทยังมีมากเสียด้วยซ้ำ

ส่วนปัญหาหนี้สินของบริษัทไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะบริษัทมีหนี้สินรวมแค่ 218.26 ล้านบาท เมื่อเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นมากถึง 638.96 ล้านบาท ได้ค่า D/E อยู่ที่ระดับ 0.35 เท่า แสดงว่า บริษัทแทบไม่มีปัญหาเรื่องหนี้สินเลยก็ว่าได้

ทั้งนี้ ทาง TACC เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าลิขสิทธิ์คาแร็คเตอร์ ตัวการ์ตูนชั้นนำในกลุ่ม Sanrio แต่เพียงผู้เดียวใน 7-Elevenโดยใช้ตัวการ์ตูน 5 คาแร็ตเตอร์ ประกอบด้วย Hello Kitty, Kerokerokeropi, Pompompurin, Bad badtzmaru, My Melody ในประเทศไทย ผ่านร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven โดยสินค้าที่บริษัทได้รับสิทธิครอบคลุม 5 กลุ่มสินค้าหลัก ได้แก่ (1) Stationary (2) Non-Food เช่น ถ้วย กระเป๋าใส่เหรียญ พวงกุญแจ เป็นต้น

(3) Cosmetic (4) Beverage และ(5) Processed Food สัญญาดังกล่าวมีระยะเวลา 5 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม-31 ธันวาคม 2559 ซึ่งบริษัทสามารถต่อสัญญาได้โดยแจ้ง Sanrio Wave Hong Kong Co., Ltd. ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือนก่อนวันที่สัญญาจะสิ้นสุดลง

นอกจากนี้ บริษัทฯยังเตรียมขยายตลาดไปยังประเทศกัมพูชา จีน และลาว ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพ เพื่อรองรับการเติบโตที่แข็งแกร่ง หลังเปิดเสรีเออีซี โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มเป็น 12% จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 8% ของรายได้รวม

TACC ธุรกิจยังคงไปได้สวย พร้อมกับผลักดันให้บริษัทมีรายได้และกำไรที่ยังแข็งแกร่ง!!

 

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

1.นายชัชชวี วัฒนสุข 178,645,143 หุ้น 29.38%

2.นายทนุธรรม เกียรติไพบูลย์ 91,273,143 หุ้น 15.01%

3.นายชนิต สุวรรณพรินทร์ 26,888,572 หุ้น 4.42%

4.นายไชยเชษฐ์ สีวลีพันธ์ 23,395,429 หุ้น 3.85%

5.นายชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์ 18,608,000 หุ้น 3.06%

 

รายชื่อกรรมการ

1.พล.ร.อ. อภิชาติ เพ็งศรีทอง ประธานกรรมการ

2.พล.ร.อ. อภิชาติ เพ็งศรีทอง กรรมการอิสระ

3.นาย ชนิต สุวรรณพรินทร์ กรรมการผู้จัดการ

4.นาย ชนิต สุวรรณพรินทร์ กรรมการ

5.นาย ชัชชวี วัฒนสุข กรรมการ

X
Back to top button