เกมปริศนาของ SAWADแฉทุกวัน ทันเกมหุ้น

ข่าวลือเกี่ยวกับการซื้อกิจการเรียกแขกได้เสมอทุกครั้ง ไม่มีเว้น


ข่าวลือเกี่ยวกับการซื้อกิจการเรียกแขกได้เสมอทุกครั้ง ไม่มีเว้น

ทุกครั้งที่ว่า หมายถึงการที่หุ้นที่ตกเป็นข่าวว่า เป็นเป้าหมายของการซื้อกิจการ จะวิ่งฉลิว

กรณีของข่าวลือว่า บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD  จะเข้าเทกโอเวอร์กิจการของบริษัทเงินทุน กรุงเทพธนาธร จำกัด (มหาชน) หรือ BFIT ที่ถือครองหุ้นใหญ่โดยกลุ่มนักลงทุน นำโดยนายศิริทัศน์ โรจนพฤกษ์และพวก …ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นข่าวมาประมาณ สัปดาห์หนึ่งแล้ว

                ผลลัพธ์ของข่าวลือก็เป็นสูตรสำเร็จเสมอ…หุ้นขึ้นตามข่าวลือ ลงเมื่อมีข่าวจริง… ราคาหุ้นของ BFIT วิ่งขึ้นท่ามกลางข่าวลือด้วยมูลค่าซื้อขายที่คึกคักทันตาเห็น ไม่ต้องหาเหตุผลอะไรมาประกอบ เพราะโดยข้อเท็จจริง ราคาหุ้นของ BFIT ต่ำกว่า บุ๊คแวลูอยู่แล้ว…สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอย่างน้อยราคาที่ซื้อต้องเท่ากับบุ๊คแวลู

ในขณะที่บริษัทที่ตกเป็นข่าวอย่าง SAWAD ราคาหุ้นไม่ขยับ …ไม่หือไม่อือเลย เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แล้วเมื่อวานซืนนี้ ข้อมูลก็ออกมา เมื่อ SAWAD แจ้งต่อตลาดว่า ได้ซื้อหุ้น BFIT 19.68 ล้านหุ้น หรือ 9.84% ของทุนชำระแล้ว ที่ราคาหุ้นละ 8 บาทจากผู้ถือหุ้นเดิม 2 ราย โดยผู้ขาย คือ น.ส.เสาวคนธ์ ลิมอักษร และ น.ส.สุภิดา ฉัตราภิรักษ์ ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับนายศิริทัศน์นั่นเอง

ภายหลังดีลจบลง  SAWAD จะมีสัดส่วนการถือครองหุ้นใน BFIT เป็นอันดับ 1 คือ 9.84%  แต่กลุ่มนายศิริทัศน์ ยังคงครองหุ้นใหญ่ รวมกันประมาณ 25.80%

คำถามคือซื้อไปทำไม เพราะนักวิเคราะห์หลายรายฟันธงว่า ลงทุนไปแล้วไม่ค่อยคุ้มค่า เนื่องจากใช้เงินไปลงทุนในกิจการบริษัทเงินทุนที่มีกำไรต่ำ และมีผลตอบแทนประมาณ 5% เท่านั้น ในขณะที่กิจการของ SAWAD เองก็มีกำไรดีกว่าหลายเท่า

 นักวิเคราะห์ของ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ดีลนี้จะไม่ได้มีผลต่อ SAWAD อย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าจะได้ปันผลปีละประมาณ 7 ล้านบาท (0.4% ของกำไรของ SAWAD) คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินลงทุน 4.4% ต่อปี น้อยกว่าผลตอบแทนจากธุรกิจหลักที่ SAWAD ทำได้เองที่ ROE กว่า 30% ถือเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า

ดังนั้น โดยรวมแล้ว ดีลนี้ไม่กระทบประมาณการของ SAWAD แต่อย่างใด..เพราะมีกำไรเป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น

ทางด้าน นางสาวดวงใจ แก้วบุตตา กรรมการผู้จัดการ SAWAD ให้เหตุผลว่า การเข้าไปซื้อหุ้นดังกล่าวถือเป็นการลงทุนในระยะยาว เนื่องจากหุ้น BFIT เป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนในรูปเงินปันผลสม่ำเสมอในอัตราที่สูงกว่าเงินฝาก ประกอบกับในอนาคตบริษัทได้วางเป้าหมายที่จะเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อทางการเงินแบบครบวงจร ดังนั้นการลงทุนดังกล่าวก็จะช่วยสนับสนุนธุรกิจของบริษัทในอนาคตด้วย

“เราต้องการที่จะเป็นร้านสะดวกซื้อทางการเงิน การลงทุนในหุ้น BFIT ในอนาคตอาจจะสามารถสนับสนุนธุรกิจหลักของบริษัทได้” …เหตุผลเพียงเท่านี้ ถือว่าแม้จะรับฟังได้แต่ก็ไม่เพียงพอ เพราะหากคิดจากการหาแหล่งระดมเงินทุนราคาต่ำกว่า ก็น่าจะใช่เนื่องจาก SAWAD ไม่ได้เข้าไปมีอำนาจเหนือกิจการใน BFIT แต่อย่างใด จากสัดส่วนการถือหุ้นน้อยนิด

จะเรียกว่าซื้อเพื่อทดลองไปก่อนก็พอได้…ไม่ว่ากัน …

ก็มีเงินเหลือเฟือนี่นา…คนรวย ทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด

เหตุผลที่สนับสนุนว่า การหาแหล่งระดมทุนจาก BFIT ไม่น่าจะเป็นคำตอบที่ตรงเป้ามากนัก อยู่ที่ข้อเท็จจริงว่า เมื่อวานนี้เอง SAWAD  ได้เสนอขายหุ้นกู้ของบริษัท มูลค่าไม่เกิน 590 ล้านบาท ออกเป็น 2 ชุด ชุดแรก มูลค่าไม่เกิน 225 ล้านบาท อายุ 2 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 7 ก.ค. 2561 อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 2.80 ต่อปี และชุดที่ 2 มีมูลค่าไม่เกิน 365 ล้านบาท อายุ 3 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 7 ก.ค. 2562 อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.10 ต่อปี

ทั้งสองชุดเสนอขายให้ผู้ลงทุนสถาบันและ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ เสนอขายหุ้นกู้ระหว่างวันที่ 4-6 ก.ค. 2559 ผ่าน บล.เอเซีย พลัส ซึ่งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้

อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทอยู่ที่ BBB แนวโน้มอันดับเครดิต Stable โดยบริษัท ทริส เรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2558

อันดับหุ้นกู้ และอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับของ SAWAD ไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพา BFIT อะไรเลย

ส่วนเหตุผลที่มีคนเชียร์แขก หลายสำนัก พยายามแก้ต่างว่า BFIT สามารถที่จะใช้ SAWAD เป็นช่องทางการปล่อยสินเชื่อ จากเงินฝากที่รับจากประชาชน แต่ธุรกิจนี้ก็อย่างที่ทราบกันดี เป็นธุรกิจตะวันตกดินมานานแล้ว เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยไม่สนับสนุนให้มีอยู่ต่อไป เพราะปัจจุบัน มีธุรกิจนี้เหลืออยู่เพียงแค่ 2 บริษัทเท่านั้นในประเทศไทย

ปริศนาว่า SAWAD ทุ่มเงินซื้อ BFIT มาทำไม จึงยังไม่ได้รับการคลี่คลาย เพราะคนที่รู้ดี ก็ไม่ยอมตอบคำถามตรงไปตรงมา ในขณะที่คนขายก็มีคำถามว่า ทำไมถึงขายหุ้นให้ SAWAD ในราคาต่ำกว่าบุ๊คแวลู ทั้งที่บริษัทมีกำไรต่อเนื่อง และมีอัตรากำไรสุทธิค่อนข้างดีด้วยในระดับ 35% เลยทีเดียว

ที่ผ่านมา BFIT มีผลประกอบการกำไรต่อเนื่อง ปี 2557 กำไรสุทธิ 96 ล้านบาท ปี 2558 กำไรสุทธิ 98 ล้านบาท และไตรมาสแรกปีนี้กำไรสุทธิ 25 ล้านบาท

อีกไม่นานก็คงจะรู้….หรือไม่รู้อะไรอีกเลย

อิ อิ อิ

Back to top button