เผยโฉม 12 หุ้นมหาเทพกวาดรีเทิร์นเกินเท่าตัว! ฟากอัพไซต์ยังเหลือ ลุ้นราคาวิ่งต่อ!

เผยโฉม 12 หุ้นมหาเทพกวาดรีเทิร์นเกินเท่าตัว! ฟากอัพไซต์ยังมีลุ้นราคาวิ่งแตะเป้า!


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใน SET ในรอบ 11 เดือนที่ผ่านมา โดยเทียบราคาปิด ณ วันที่ 30 ธ.ค.59-30 พ.ย.60 ซึ่งพบว่ามีหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงเกินเท่าตัว หรือปรับตัวขึ้นเกิน 100%

ขณะที่เป็นการปรับตัวขึ้นแรงชนะตลาดหุ้นไทย หลังจากที่ตลอดช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET ปรับตัวขึ้น 10.01% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1,542.94 จุด (30 ธ.ค. 59) มาอยู่ที่ระดับ 1,697.39 จุด (30 พ.ย.60) บวกไป 154.45 จุด

โดยบริษัทที่ผ่านเกณฑ์ดังกล่าวมีทั้งหมดถึง 12 บจ. ด้วยกันดังตารางประกอบ

อันดับที่ 1 บริษัท บางปะกง เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) หรือ BTC เป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสูงสุดในรอบ 11 เดือน โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นกว่า 1,500% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 0.08 บาท (30 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1.28 บาท (30 พ.ย.)

อย่างไรก็ตามผลประกอบการของบริษัทที่ผ่านมายังมีผลขาดทุนสุทธิต่อเนื่อง โดยในปี 2558 บริษัทขาดทุนสุทธิ 42.54 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2559 ขาดทุนสุทธิ 53.57 ล้านบาท

ขณะที่ล่าสุด BTC ประกาศเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม และแบบเฉพาะเจาะจง (PP) ให้กับบริษัทจำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.68 บาท ในราคาหุ้นละ 0.90 บาท รวมเป็นมูลค่า 180 ล้านบาท โดยเพิ่มทุน PP ให้กับบริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MILL อย่างไรก็ตามรายการดังกล่าวจะต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบีทีซีก่อน

โดยแผนการเพิ่มทุนในครั้งนี้เป็นที่น่าจับตาว่าจะช่วยให้ผลประกอบการของบริษัทดีขึ้นได้หรือไม่ และทาง MILL หลังจากขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แล้วจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจไปเป็นรูปแบบไหน

 

อันดับที่ 2 บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นกว่า 207% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 7.80 บาท (30 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 24 บาท (30 พ.ย.)

ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 27 บาท/หุ้น โดยมองว่า Rating ช่อง 8 ล่าสุดเฉลี่ยเดือนพ.ย.ยังเพิ่มต่อเนื่อง หนุนสมมุติฐานความสามารถในการปรับขึ้นค่าโฆษณาในปีหน้าได้ราว 25%

ขณะที่ยอดขาย H&B ยังแข็งแกร่ง แม้โดยรวมแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/60 ลดลงจากระดับสูงสุดของปีในไตรมาสก่อน   ผลกระทบงานพระราชพิธี แต่ยังเพิ่มจากปีก่อน ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 60 ฟื้นตัวเป็นบวก และโตสูง 1.5 เท่าตัว ในปี 2018 และ 45.7% ในปี 62 จากมุมมองเชิงบวก 2 ธุรกิจหลักดังกล่าว ขณะที่ราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมา มี Upside มากขึ้นจากราคาเป้าหมายปี 2018 ที่ 27 บาท แนะนำ ซื้อสะสม จากเดิม ถือ

 

อันดับที่ 3 บริษัทเงินทุน ศรีสวัสดิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ BFIT ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นกว่า 181% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 12.80 บาท (30 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 36 บาท (30 พ.ย.)

โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวกำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทมีรายได้รวม 1,809.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 405.48 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 1,404.31 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 28% จากการปล่อยสินเชื่อผ่านสาขาที่เพิ่มขึ้นเป็น 2422 สาขาทำให้ลูกหนี้เพิ่มเป็น 25,914.59 ล้านบาท จาก 18,687.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.67%

ขณะที่ในไตรมาส 3/60 มีการนำส่งรายได้จาก บริษัทเงินทุน ศรีสวัสดิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ BFIT เต็มทั้งไตรมาส และยังมีส่วนที่เป็นค่าธรรมเนียมที่ได้จาก BFIT ในการทำธุรกรรมร่วมกัน

โดย BFIT ที่มี SAWAD ถือหุ้นใหญ่กว่า 36.35% แจ้งผลประกอบการไตรมาส 3/60 มีกำไรสุทธิ จำนวน 54.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.97 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 49.53% เมื่อเปรียบเทียบกับผลกำไรจากงวดบัญชีเดียวกันของปี 2559 ขณะที่กำไรในช่วง 9 เดือนแรกปี 2560 เพิ่มเป็น 16.6 ล้านบาท เติบโต 81.87%

 

อันดับที่ 4 บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นกว่า 153% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 8.00 บาท (30 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 20.30 บาท (30 พ.ย.)

ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ORI ราคาเป้าหมาย 24.70 บาท/หุ้น โดยบริษัทประกาศเป้าหมายปี 2561 อย่างเป็นทางการ โดยตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้น 65% เป็น 25.0 พันล้านบาท ทำให้เป้าหมายยอดขายจะเพิ่มขึ้น 28% เป็น 18 พันล้านบาท

ขณะที่รายได้ตั้งเป้าเติบโต 55% เป็น 14.0 พันล้านบาท โดยโครงการใหม่ที่มีแผนก่อสร้างแล้วเสร็จเพิ่มเติม 15.1 พันล้านบาทในปี 2561 จาก 13.2 พันล้านบาทในปีนี้จะเป็นส่วนสนับสนุนสำคัญ โดยปีหน้านอกเหนือจากโครงการพาร์ค ทองหล่อ (มูลค่า 11.0 พันล้านบาท) แล้ว ORI จะมีการเปิดตัวโครงการแนวราบมากขึ้นกว่าปีนี้ โดยจะเพิ่มทาวน์โฮมเข้ามาในพอร์ตการพัฒนาจากปีนี้ที่มีบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดแล้ว

นอกจากนี้ยังจะมีการพัฒนาโครงการที่สร้างรายได้ประจำ ทั้งโรงแรม รีเทลและศึกษาการพัฒนาคลังสินค้าอีกด้วย ซึ่งจะทำให้กลุ่มธุรกิจมีความหลากหลายมากขึ้น โดยเรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อพัฒนาการของบริษัท โดยคงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมายปี 2561 ที่ 24.70 บาท

 

อันดับที่ 5 บริษัท ห้องเย็นเอเชี่ยน ซีฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นกว่า 146% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 4.50 บาท (30 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 11.10 บาท (30 พ.ย.)

โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่องหลังจากทิศทางผลประกอบการมีโอกาสปรับตัวดีขึ้น ซึ่ง นายเฮนดริคัส แวน เวสเทนดรอป ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน ASIAN เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโตเฉลี่ย 10-15% ทุกปี ตามแผนเป้าหมายในปี 63 โดยในปีหน้าคาดว่าการเติบโตเฉลี่ยที่ 10-15% จะมีปัจจัยหลักจากการพัฒนาธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเข้าสู่กลุ่มสินค้าระดับพรีเมียม

ทั้งนี้บริษัทมองว่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียมมีอัตราเติบโตสูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์ ซึ่งบริษัทฯในฐานะผู้ร่วมพัฒนามองว่าจะเติบโตได้ดีร่วมกับคู่ค้าทางธุรกิจ เนื่องจากคู่ค้ามีศักยภาพเติบโตได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว นอกจากนี้บริษัทยังมองหาลูกค้าใหม่อยู่เรื่อย ๆ แต่อาจจะมีอัตราเติบโตไม่สูงเท่าปีนี้เนื่องจากมีฐานที่ใหญ่ขึ้นมาก

รวมถึงธุรกิจกุ้งแช่แข็งและธุรกิจอาหารสัตว์น้ำก็ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ดี และสัดส่วนรายได้ในปี 61 จะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจากปีนี้

ขณะที่บริษัทยังมีแผนก่อสร้างคลังสินค้าอัตโนมัติในปีหน้า โดยใช้งบลงทุนราว 200 ล้านบาท อยู่ระหว่างการเซ็นสัญญากับผู้รับเหมา โดยจะเริ่มก่อสร้างภายในต้นปีและกำหนดเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี เพื่อรองรับการจัดเก็บสินค้าเพิ่มขึ้นอีก 15,000 พาเลท นอกจากนั้น บริษัทยังมีแผนลงทุนในส่วนอื่น ๆ ด้วย ภายใต้งบประมาณลงทุนตามนโยบายให้ไม่เกินค่าเสื่อมราคาของทุกปี

สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 4/60 บริษัทคาดว่าจะออกมาค่อนข้างดี ซึ่งจะสนับสนุนให้รายได้ทั้งปี 60 ทำได้ตามเป้าหมายใหม่ที่ 1 หมื่นล้านบาท หลังจากปรับลดเป้าหมายลงมาจากเดิมที่ 1.5 หมื่นล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจกุ้งแช่แข็ง เนื่องจากมีอุปสงค์ค่อนข้างมากโดยเฉพาะจากความต้องการนำเข้าของจีน แต่ยังมีผู้ผลิตที่เป็นคู่แข่งอย่างอินโดนีเชียและอินเดีย ทำให้เกิดการแข่งขัน และสร้างแรงกดดันด้านราคา แต่มองว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น และเห็นพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button