STEC เด้งกลับเกือบ 4% คาดนลท.ซื้อเก็งกำไรหลังราคารูดยาว 5 วัน โบรกฯ แนะซื้อเป้า 28 บ.

STEC เด้งกลับเกือบ 4% คาดนลท.ซื้อเก็งกำไรหลังราคารูดยาว 5 วัน โบรกฯ แนะซื้อเป้า 28 บาท ชี้ตุน backlog ระดับแสนล้านบาท หนุนผลงานโตต่อเนื่อง ล่าสุด ณ เวลา 14.39 น. อยู่ที่ 21.50 บาท บวก 0.80 บาท หรือ 3.86% สูงสุดที่ 21.70 บาท ต่ำสุดที่ 20.60 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 184.48 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC ล่าสุด ณ เวลา 14.39 น. อยู่ที่ 21.50 บาท บวก 0.80 บาท หรือ 3.86% สูงสุดที่ 21.70 บาท ต่ำสุดที่ 20.60 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 184.48 ล้านบาท

ทั้งนี้ ราคาหุ้น STEC ปรับตัวขึ้น คาดนักลงทุนเข้าซื้อทำกำไรหลังจากที่ก่อนหน้านี้ปรับตัวลงต่อเนื่อง 5 วัน นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 22.50 บาท เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.2561

ด้าน บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” STEC ราคาเป้าหมาย 28 บาท/หุ้น เนื่องจาก บล.บัวหลวง เชื่อว่าจะเป็นหนึ่งในบริษัทที่น่าลงทุนที่สุดในครึ่งหลังของปี 2561 โดยมูลค่างานในมือรอรับรู้รายได้ของ STEC ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติกาลที่ 1.25 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนมี.ค.

อีกทั้งโครงการส่วนใหญ่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการก่อสร้าง ซึ่งหมายความว่าเราน่าจะเห็นรายได้เร่งตัวขึ้นตาม S-curve ดังนั้นแม้ว่า STEC ไม่รับโครงการใหม่เข้ามาเลยในอีกสองปีข้างหน้า แต่รายได้ของบริษัทจะยังคงเพิ่มเป็น 2.5 หมื่นล้านบาทในปี 2561 และ 3 หมื่นล้านบาทในปี 2562 หรือคิดเป็นเติบโตเฉลี่ย 22% ต่อปี

ทั้งนี้นับตั้งแต่ต้นปี STEC เซ็นสัญญาโครงการใหม่มูลค่า 2.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายของบริษัทที่ 3 หมื่นล้านบาทในปีนี้ และเนื่องจากจะมีงานประมูลขนาดใหญ่อีกมากในครึ่งหลังของปี 2561 STEC จึงตัดสินใจปรับเพิ่มเป้าหมายมูลค่างานใหม่ขึ้นเป็น 4 หมื่นล้านบาทในปี 2561 โดยโครงการภารรัฐที่คาดจะขายซองประมูลเดือนนี้ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินมูลค่า 2.25 แสนล้านบาท และโครงการทางด่วนพระราม 3 มูลค่า 3.1 หมื่นล้านบาท

ขณะที่ TOR สำหรับโครงการโรงไฟทางคู่ทั้ง 7 สายมูลค่า 2.61 แสนล้านบาท และโครงการรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงมูลค่า 1.01 แสนล้านบาทน่าจะเห็นในครึ่งปีหลังนี้ ทั้งนี้การเซ็นต์สัญญาโครงการเหล่านี้น่าจะเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งซึ่งน่าจะมีขึ้นในเดือนก.พ. 2562

นอกจากงานภาครัฐขนาดใหญ่แล้ว โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาคเอกชนกำลังจะเริ่มทยอยออกมา โดยโครงการ One Bangkok ซึ่งเป็นโครงการ mixed-use มูลค่า 1.2 แสนล้านบาท ได้เริ่มตอกเสาเข็มแล้วและอยู่ในระหว่างการเจรจากับผู้รับเหมาสำหรับการก่อสร้างอาคาร

ขณะที่โครงการดุสิตมูลค่า 3.67 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่าง CPN และ Dusit น่าจะเริ่มเจรจากับผู้รับเหมาในครึ่งหลังของปี 2561 เนื่องจากโครงการนี้ตั้งเป้าจะเริ่มก่อสร้างในต้นปี 2562 นอกจากนี้ STEC ยังเล็งงานก่อสร้างบางส่วนของโครงการขยายโรงกลั่นของ TOP มูลค่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งน่าจะได้ผลสรุปในปลายไตรมาส 4/61 หรือต้นปี 2562

ดังนั้นอัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มสูงกว่าที่บริษัทมองไว้เดิมที่ 6.5-7% เนื่องจาก 1) บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนการสร้างรัฐสภาและสนามบินภูเก็ตได้แล้ว และ 2) งานที่ให้อัตรากำไรสูงอย่างโครงการโรงไฟฟ้า Gulf ศรีราชามูลค่า 9.4 พันล้านบาทจะเริ่มก่อสร้างในเดือนก.ค. นี้ ซึ่งเร็วกว่าแผน 5 เดือน ทั้งนี้ บล.บัวหลวงได้ประเมินอัตรากำไรขั้นต้นที่ 7.4% สำหรับปี 2561 ซึ่งต่ำกว่าอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 1/61 ที่ 7.7% เล็กน้อย

Back to top button