ดักเก็บ IRPC หุ้นดีราคาถูก โบรกฯชี้กำไรไตรมาส 3/61 โตแกร่งรับกำไรสต๊อกน้ำมันพุ่ง

ดักเก็บ IRPC หุ้นดีราคาถูก โบรกฯชี้กำไรไตรมาส 3/61 โตแกร่งรับกำไรสต๊อกน้ำมันพุ่ง


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์ เกี่ยวกับหุ้นบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC หลังมีการประเมินว่าผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/2561 จะมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง อีกทั้งราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมายังปรับตัวลดลงจนเป็นโอกาสในการเข้าช้อนซื้อ

ด้านราคาหุ้น IRPC ปิดตลาดวานนี้ (2 ต.ค.61) ที่ระดับ 6.65 บาท ลบ 0.05 บาท หรือ 0.75% สูงสุดที่ระดับ 6.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 6.60 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 768.30 ล้านบาท

โดยก่อนหน้านี้ นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ IRPC เปิดเผยว่า ในไตรมาส 3/2561 บริษัทคาดจะมีกำไรจากการสต๊อกน้ำมัน (สต๊อกเกน) ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากราคาน้ำมันเฉลี่ยในช่วงไตรมาสดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 76-78 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และล่าสุดอยู่ที่ระดับ 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากไตรมาส 2/2561 ปิดที่ระดับ 72 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

นอกจากนี้คาดมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) ในช่วงไตรมาส 3/2561 จะต่ำกว่าไตรมาส 2/2561 เนื่องจากต้นทุนทางด้านราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นจึงกระทบธุรกิจโรงกลั่น และส่งผลให้ค่าการกลั่น (GRM) ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตามทางบริษัทจะได้รับสต๊อกเกนเข้ามาช่วยสนับสนุน หลังจากราคาน้ำมันเฉลี่ยได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างแนะนำ “ซื้อ” หุ้น IRPC โดยคาดกำไรสุทธิปีนี้เพิ่มขึ้น 4.4% และกำไรปกติ 6.3% จากค่าการกลั่นที่สูงขึ้นจากแนวโน้มราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ซัพพลายในตลาดลดลง

รวมถึงการขยายกำลังการผลิตโพลีโพรพิลีน (PP) อีก 3 แสนตัน/ปีที่แล้วเสร็จเมื่อปลายปีก่อน ซึ่งเป็นการขยายกำลังการผลิต PP จากโรงงานเดิม (PPE) อีก 1.6 แสนตัน/ปี และการผลิต PP Compound (PPC) 1.4 แสนตัน/ปี ขณะที่ส่วนต่าง (สเปรด) ของ PP ที่แข็งแกร่งช่วยรักษาระดับกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (GIM) ทั้งปีได้ที่ราว 14-15 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นในไตรมาส 3/61 กำไรจะลดลงจากไตรมาส 2/61 รับผลกระทบสเปรดผลิตภัณฑ์กลุ่มโอเลฟินส์ปรับลดลง อีกทั้งมีการหยุดซ่อมหน่วย Hyvahl และหน่วย RDCC ทำให้อัตราการกลั่นคาดว่าจะลดลงเหลือ 90-93% จาก 97-98% ในไตรมาส 2/61 แต่เชื่อว่าเป็นผลกระทบระยะสั้น และราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยเชิงลบไปแล้ว

ด้านนายเบญจพล สุทธิ์วนิช รองกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเอสแอล ระบุในบทวิเคราะห์แนะนำ “ซื้อ” หุ้น IRPC ด้วยราคาเป้าหมายที่ 8.70 บาท แม้ว่าระยะสั้นหรือในไตรมาส 3/61 กำไรสุทธิมีโอกาสลดลงจากไตรมาส 2/61 เนื่องจากรับผลกระทบจากสเปรดราคาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโอเลฟินส์ปรับตัวลดลงจากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นสูง และมีการหยุดซ่อมหน่วย Hyvahl เป็นเวลา 40 วัน และหน่วย RDCC เป็นเวลา 26 วัน ทำให้คาดว่าอัตราการกลั่นจะลดลงเหลือ 90-93% จาก 97% ในไตรมาส 2/61 และรับรู้กำไรจากสต็อก (Stock Gain) ที่ลดลง

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีปัจจัยบวกจากสเปรดผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์สูงขึ้น รวมทั้งค่าการกลั่นดีขึ้น และคาดว่ากำไรในไตรมาส 4/61 จะกลับมาดีขึ้นในช่วงไฮซีซั่น ประกอบกับแนวโน้มราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากซัพพลายในตลาดโลกลดลงและความต้องการเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณปรับตัวลง

ทั้งนี้ คาดว่าในปีนี้ IRPC มีกำไรปกติที่ 8,788 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.3% จากปีก่อน ซึ่งในช่วงครึ่งแรกของปีทำได้ 48% ของประมาณการแล้ว นอกจากนี้ราคาหุ้น IRPC ถือว่า Laggard ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านหลังจากได้รับผลกระทบโดยตรงจากความกังวลคดีที่เกี่ยวข้องกับ บมจ.อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย (TPI) หรือ IRPC ในปัจจุบัน

อนึ่งเมื่อวันที่ 29 ส.ค.ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดมาตรา 157 กรณีอนุมัติให้กระทรวงการคลังเข้าฟื้นฟูกิจการ TPI ซึ่งทำให้ Sentiment การลงทุน IRPC กลับมาฟื้นตัวเพื่อสะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง

ด้าน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์แนะนำ “ซื้อ” หุ้น IRPC แม้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นจะทำให้ค่าการกลั่นปรับลดลงในระยะนี้ แต่ยังคงสูงกว่าปีก่อน อีกทั้ง IRPC จะได้รับผลดีเชิงจิตวิทยาจากการที่ศาลฎีกาฯ ตัดสินยกฟ้องนายทักษิณกรณีอนุมัติให้กระทรวงการคลังเข้าเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ TPI ว่าไม่มีเจตนาที่จะแสวงหาผลประโยชน์

อย่างไรก็ตาม IRPC มีแผนหยุดซ่อมหน่วย Hyvahl และหน่วย RDCC ในช่วงไตรมาส 3/61 ทำให้คาดว่าอัตราการกลั่นจะลดลงเหลือ 93% จาก 98% ในไตรมาส 2/61 แต่ IRPC ก็ได้รับผลดีจากการที่กำลังผลิตใหม่ของผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์เข้าสู่ตลาดโลกล่าช้า รวมถึงอาจมีกำไรจากการขายที่ดินให้บริษัทร่วมทุนระหว่าง IRPC และบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ขณะที่ความต้องการน้ำมันจะเพิ่มขึ้นในการเข้าสู่ Driving Season ของสหรัฐฯ และฤดูหนาวปลายปี ทำให้ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 61 ที่ระดับ 1.19 หมื่นล้านบาท เติบโต 4.4% จากปีที่แล้ว

ส่วน บล.แอพเพิล เวลธ์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของ IRPC ช่วงครึ่งหลังปีนี้ ยังคงคาดการณ์กำไรปกติจะปรับตัวดีขึ้น ด้วยแรงหนุนจากการฟื้นตัวของค่าการกลั่นที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วตอนปลายไตรมาส 2/61 ประกอบกับผลกระทบจากต้นทุน Crude Premium น่าจะเริ่มคลี่คลายจากราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ลดลง การเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และความต้องการใช้น้ำมันของประเทศจีนที่อาจชะลอตัว ด้วยผลของสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ขณะที่คาดว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในส่วนของค่าใช้จ่ายพนักงานจะลดลงสู่ระดับปกติ

อย่างก็ตาม ประเมิน Upside จากราคาน้ำมันดิบเริ่มจำกัด ทำให้โอกาสในการรับรู้กำไรจากสต็อกน้ำมันน้อยกว่าครึ่งปีแรก นอกจากนี้ช่วงเดือน ก.ย.ยังมีแผนปิดซ่อมหน่วยผลิตที่เกี่ยวข้องกับโครงการเพิ่มมูลค่าเพื่อผลิตภัณฑ์สะอาด (UHV) บางส่วน เป็นเวลา 26 วัน ซึ่งจะทำให้ปริมาณน้ำมันดิบที่นำเข้ากลั่น และปริมาณการผลิตโพรพิลีนลดน้อยลง แต่คาดผลกระทบจะไม่มากด้วยการเตรียมผลิตไว้ล่วงหน้า บวกกับสเปรดที่แข็งแกร่งของ PP จากอุปทานที่เพิ่มขึ้นอย่างจำกัด สวนทางกับความต้องการใช้

ประกอบกับ ผลประโยชน์จากโครงการการติดตั้งหอกลั่น Max Gasoline Mode เพื่อปรับปรุงน้ำมันเบนซินที่ยังมีส่วนประกอบที่หลากหลาย (gasoline components) ที่เดิมจะต้องส่งออกนำบางส่วนมาแยกสารบางประเภทออกเพื่อให้สามารถนำน้ำมันเบนซินกลับมาขายในประเทศเพิ่มขึ้น และโรงงาน PPC ที่เดินเครื่องได้เต็มที่ 100% จึงน่าจะช่วยรักษาระดับ GIM ซึ่งไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันของทั้งปีนี้อยู่ที่ราว 14-15 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

Back to top button