JMART รูด 14% ต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี วิตกงบฯไตรมาส 3/61 ต่ำคาดหลังเข้า “โลว์ซีซั่น”

JMART รูด 14% ต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี วิตกงบฯไตรมาส 3/61 ต่ำคาดหลังเข้า "โลว์ซีซั่น" โดยปิดตลาดวันนี้ อยู่ที่ระดับ 7.15 บาท ปรับตัวลดลง 1.20 บาท หรือ 14.37% สูงสุดที่ 8.35 บาท ต่ำสุดที่ 6.60 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 281.54 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ปิดตลาดวันนี้ อยู่ที่ระดับ 7.15 บาท ปรับตัวลดลง 1.20 บาท หรือ 14.37% สูงสุดที่ 8.35 บาท ต่ำสุดที่ 6.60 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 281.54 ล้านบาท โดยราคาหุ้นในวันนี้ทำจุดต่ำสุดในรอบ 2 ปี 3 เดือน นับตั้งแต่หุ้นลงไปทดสอบระดับ 5.21 บาท เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2559

จากแหล่งข่าวห้องค้า ระบุว่า สาเหตุที่ราคาหุ้น JMART ปรับตัวลงอย่างหนัก เป็นผลจากความวิตกกังวลว่าผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปี 2561 จะออกมาไม่สดใส เนื่องจากในช่วงดังกล่าว ทางบริษัทขายสินค้าไม่ค่อยดี จนทำให้เกิดมีสินค้าค้างสต็อกจำนวนมาก อีกทั้งกำลังซื้อที่ชะลอตัว คาดว่าจะทำให้ทางบริษัทต้องตั้งสำรองหนี้เพิ่มขึ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2561 ของ JMART และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 44.54 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.06 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 148.12 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.20 บาท โดยงวดไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561

ด้านนายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/61 คาดว่าจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ และการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของ Apple ปลายปีนี้ ที่จะเข้ามากระตุ้นยอดขาย หลังจากไตรมาส 3/61 มีสต๊อกสินค้าคงค้างค่อนข้างมาก และกำลังซื้อชะลอตัว ทำให้มีผลขาดทุนคลังสินค้าที่เหลือ

โดยบริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ในปี 61 จะทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีรายได้รวม 1.32 หมื่นล้านบาท และพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกสามารถทำรายได้ไปแล้ว 6.49 พันล้านบาท แต่มีผลขาดทุนสุทธิ 142.72 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงไตรมาส 1/61 มีการตั้งสำรองจากบริษัทลูก ได้แก่ บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ผู้ประกอบการธุรกิจติดตามหนี้ และบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และบมจ.ซิงเกอร์ ประเทศไทย (SINGER) ผู้ประกอบการเช่าซื้อ รวมถึงไตรมาส 3/61 เป็นช่วงโลว์ซีซั่นและยังมีสต๊อกสินค้าคงค้างค่อนข้างมาก

ทั้งนี้ คาดรายได้และกำไรสุทธิในปี 62 จะเติบโตมากกว่าปีนี้ จากการปรับโครงสร้างธุรกิจเดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับ บริษัทมีแผนนำหุ่นยนต์สื่อสารเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย หลังจากที่มองตลาดสมาร์ทโฟนในปัจจุบันเริ่มมีอัตรากำไร (มาร์จิ้น) บางลง และการแข็งขันสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทจะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติแผนการดำเนินงานของปีหน้าในช่วงสิ้นเดือน ต.ค.61

Back to top button