JMART คาดปีนี้พลิกมีกำไร หลัง JMT รายได้นิวไฮ-บ.ร่วมทุนผลงานฟื้นตัว

JMART คาดปีนี้พลิกมีกำไร หลัง JMT รายได้นิวไฮ-บ.ร่วมทุนผลงานฟื้นตัว


นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยว่า ภาพรวมกลุ่มเจมาร์ทในปี 62 จะพลิกกลับมาเป็นกำไรสุทธิ จากที่ขาดทุนสุทธิ 277.06 ล้านบาทในปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามธุรกิจของบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ที่คาดว่าจะสามารถทำรายได้และกำไรสุทธินิวไฮได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทย่อยธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (J Mobile), ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล บริษัท เจ ฟินเทค จำกัด (J Fintech), ธุรกิจให้เช่าและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท (J) และบมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) จะกลับมามีกำไรสุทธิได้ในปีนี้

ทั้งนี้ ธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ บริษัทจะบริหารช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลายผ่านการ Synergy ของกลุ่มเจมาร์ท เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มมาร์จิ้น รวมถึงการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง และการบริหารผลิตภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพ  และการเป็นพันธมิตรแบบ Exclusive Partnership กับบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) หรือเอไอเอส  ซึ่งเป็นผู้ให้บริการอันดับ 1 ของประเทศไทย ในการการจัดจำหน่ายซิม และแพ็กเกจในช่องทางการจัดจำหน่ายของเจมาร์ท ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถจัดจำหน่ายมือถือที่มีโปรโมชั่นส่วนลดค่าเครื่องที่แข่งขันได้ และมีรายได้เพิ่มจากส่วนแบ่งรายได้ โดยตั้งแต่เริ่มความร่วมมือดังกล่าวในไตรมาส 4/61 บริษัทมียอดจำหน่ายซิมเพิ่มขึ้น โดยจำนวน SIM Subscriber 4 เดือนล่าสุดมีจำนวนรวมเกือบ 50,000 ซิม และตั้งเป้าปี 62 จะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 200,000 ซิม

ด้าน นายกิติพัฒน์ ชลวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ ฟินเทค จำกัด (J Fintech) กล่าวว่า สำหรับธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ภายใต้แบรนด์ “J Money” คาดว่าจะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/62 เป็นต้นไป หลังจากการคัดกรองคุณภาพลูกค้าค้าดีขึ้น โดยพิจารณาจากวงเงินเฉลี่ยของสินเชื่อต่อรายลูกค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ประมาณ 1,500 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีพอร์ตลูกหนี้คงค้างอยู่ที่ 4,020 ล้านบาท โดยจะยังมุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อแฟคตอริ่ง และไม่มีหนี้ด้อยคุณภาพ รวมถึงบริษัทยังตั้งเป้าการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญลดลงมาเป็นตัวเลขหลักเดียว หรือ 8% จากปีก่อนมีการตั้งสำรองหนี้งสัยจะสูญจากลูกหนี้เป็นตัวเลขสองหลัก ส่วนธุรกิจเรียกเก็บหนี้ปีนี้คาดว่าจะทำได้มากขึ้น โดยตั้งเป้าไว้ที่ 60 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 12 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้จะเข้ามาเสริมรายได้ให้แก่บริษัทในปีนี้

ประกอบกับยังได้นำระบบสินเชื่อแบบดิจิทัลที่ไม่มีตัวกลาง (Decentralized Digital Lending Platform : DDLP) ของบริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด (JVC) เข้ามาเสริมกับธุรกิจ โดย JVC คาดจะพัฒนาระบบดังกล่าวแล้วเสร็จและเริ่มนำระบบบล็อกเชนมาใช้ได้ตามแผนเดิมหรือก่อนวันที่ 1 ต.ค.นี้

อย่างไรก็ตามมองว่าหากผลการดำเนินงานในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ บริษัทจะยื่นไฟลิ่งเพื่อขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในปี 63 และคาดจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ในช่วงปลายปี 63 เพื่อระดมทุนมาขยายธุรกิจ ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายการเติบโตจากการหาพันธมิตรเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง โดยบริษัทอยู่ระหว่างหาพันธมิตรที่จะเข้ามาช่วยในเรื่องของ Know-how คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในรายละเอียดได้ภายในปีนี้

ด้าน นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMT กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้และกำไรสุทธิปีนี้เติบโต 50% จากความสามารถในการจัดเก็บหนี้ได้ดี โดยปีนี้มีกองหนี้ที่จะต้องเร่งเก็บอยู่ที่ 6,000 ล้านบาท คาดว่าภายในไตรมาส 2/62 จะเร่งเก็บหนี้ได้ครบทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลทำให้ครึ่งปีหลังบริษัทจะมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นอย่างนัยสำคัญ ขณะที่ครึ่งปีแรกจะพยายามรักษาระดับการทำกำไรให้เป็นไปตามมาตรฐาน

พร้อมกันนี้ตั้งเป้ามีกระแสเงินสดจากการเก็บหนี้ในปีนี้ที่ 3,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังวางงบลงทุนในการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารจำนวน 4,500 ล้านบาท โดยปีนี้ยังคงรักษาระดับมูลหนี้เข้ามาบริหารราว 20,000 ล้านบาท ส่วนธุรกิจประกันภัยภายใต้การบริหารของบมจ.เจพี ประกันภัย  ซึ่ง JMT ถือหุ้นในสัดส่วน 55% ปีนี้ตั้งเป้ามีรายได้จากการขายประกันภัยที่ 300 ล้านบาท โดยจะเน้นการทำมาร์จิ้นให้มากขึ้น และเน้นไปยังการขายผลิตภัณฑ์ Non-Motor

Back to top button