เปิด 4 หุ้นตัวท็อปยืนแกร่ง สวนภาวะดัชนีรูดหนัก 17 จุด!

เปิด 4 หุ้นตัวท็อปยืนแกร่ง สวนภาวะดัชนีรูดหนัก 17 จุด!


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยล่าสุด ณ เวลา 11.11 น. อยู่ที่ระดับ 1,635.21 จุด ปรับตัวลดลง 15.43 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.14 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามหุ้นในกระดานซื้อขายซึ่งจัดลำดับโดยมูลค่าซื้อขาย 20 อันดับแรก พบว่ามีเพียง 4 บจ.ที่ปรับตัวขึ้นสวนภาวะดัชนี ประกอบด้วย ADVANC , TOP , KTB และPTTEP

โดยราคาหุ้น บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC อยู่ที่ระดับ 223 บาท ปรับตัวขึ้น 2 บาท หรือ 0.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 518.22 ล้านบาท

ด้านบล.เอเชีย เวลท์ แนะนำ “BUY” ADVANC ราคาเป้าหมาย 225 บาท/หุ้น หลังรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/62 ที่ 7,755 ล้านบาท (-3.1%จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และเพิ่มขึ้น 2.4% จากไตรมาสก่อน) โดย EBITDA ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 19,551 ล้านบาท  โดยรายได้มีการปรับตัวสูงขึ้นจากการถอนแพ็กเกจ Fixed Speed Unlimited รวมทั้งรายจากธุรกิจอินเตอร์เน็ตที่มีการเติบโตสูง

ทั้งนี้คาดว่าในครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 2/62 ซึ่งเห็นได้ว่า APRU ฟื้นขึ้น รวมทั้งการใช้งานอินเตอร์เพิ่มสูงขึ้น แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายที่ 225.00 บาท และ อัตราปันผล 3.6% โดยบริษัทประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 3.78 บาทต่อหุ้น และ XD วันที่ 16 ส.ค. 62

 

ขณะเดียวกันบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP อยู่ที่ระดับ 65 บาท ปรับตัวขึ้น 1.25 บาท หรือ 1.96% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 233.25 ล้านบาท

โดย บล.ดีบีเอสฯ แนะนำ “ซื้อ” TOP ราคาเป้าหมาย 75 บาท/หุ้น โดยกำไรสุทธิไตรมาส 2/62 เท่ากับ 567 ล้านบาท (ลดลง 88% จากปีก่อน และ -87% จากไตรมาสก่อน) เพราะค่าการกลั่นลดลง ยกเว้นค่าการกลั่นน้ำมันเบนซิน, ค่าพรีเมียมน้ำมันดิบสูงขึ้น, ขาดทุนสต๊อก, ค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุง 352 ล้านบาท และตั้งสำรอง Employee benefit 384 ล้านบาท ถ้าไม่รวมรายการพิเศษ พบว่า Norm profit ไตรมาสนี้อยู่ที่ 357 ล้านบาท (ลดลง 94% จากปีก่อน, ลดลง 90% จากไตรมาสก่อน)

สำหรับค่าการกลั่นลดลงในครึ่งปีหลังของปี 62 ค่าการกลั่นที่ไม่รวมผลกระทบจากสต๊อก (GRM) อยู่ที่ 4.2 ดอลลาร์/บาร์เรล (ลดลง 29% จากปีก่อน และ ลดลง 19% จากไตรมาสก่อน) และถ้ารวมขาดทุนสต๊อกค่าการกลั่น (GIM) จะลดลงเป็น 4 ดอลลาร์/บาร์เรล (-63% จากปีก่อน และ -49% จากไตรมาสก่อน)

แนวโน้มครึ่งปีหลังจะดีขึ้น แต่ส่วนหนึ่งจะถูกชดเชยด้วยค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงที่เกิดขึ้นใน 3Q62 ราว 600-650 ล้านบาท & การใช้กำลังการผลิตน้อยลง เราคาดว่าค่าการกลั่น GRM จะสูงขึ้นเมื่อใกล้จะใช้ IMO 2020 และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ดีขึ้นหลังจีนนำเข้าเพิ่มในเดือนก.ค.2019 และดีมานด์ BZ ในสหรัฐดีขึ้น

ทั้งนี้ แนะนำซื้อ TOP ให้ราคาพื้นฐาน 75 บาท  อิงกับ P/BV ปีนี้ที่ 1.2 เท่า โดยคาดว่าจะเป็นบริษัทที่ได้รับประโยชน์จาก IMO 2020 ที่จะเริ่มใช้ 1 ม.ค.2020 มาก, ได้รับผลกระทบจากค่าพรีเมียมน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าโรงกลั่นอื่น และเป็นโรงกลั่นมีประสิทธิภาพสูง (Cash cost ต่ำกว่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม)

 

อีกทั้ง ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB อยู่ที่ระดับ 18.10 บาท ปรับตัวขึ้น 0.30 บาท หรือ 1.69% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 231.78 ล้านบาท

โดย บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า ยังคงประมาณการกำไรของ KTB ในปี 2562 ที่ 30,199 ล้านบาท โดยกำไรครึ่งปีแรกคิดเป็นราว 51% ของประมาณการทั้งปี สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าแนวโน้มกำไรจะดีขึ้น เนื่องจากความจำเป็นในการตั้งสำรองพิเศษจะลดลง สำหรับสำรองค่าใช้จ่ายพนักงานตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่นั้นไม่ส่งผลกระทบ เนื่องจาก KTB อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ แต่หากในอนาคตมีการปรับแก้กฎหมายดังกล่าวก็อาจมีการปรับประมาณการอีกครั้งหนึ่ง

 

ขณะเดียวกัน บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP อยู่ที่ระดับ 125.50 บาท ปรับตัวขึ้น 1.50 บาท หรือ 1.21% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 526.87 ล้านบาท

โดย บล.เอเชีย เวลท์ แนะนำ “BUY” PTTEP ราคาเป้าหมาย 162 บาท/หุ้น คาดแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 3/62 ทรงตัวในระดับสูง จากการเริ่มรับรู้สินทรัพย์จากมาเลเซีย หนนุยอดขายปรับเพิ่มขึ้น  มอง Noise เล็กๆ จากราคาน้ำมันดิบปรับลดเมื่อคืน กระทบ Sentiment การลงทุนหุ้น PTTEP ระยะสั้นเท่านั้น

ขณะที่บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 2.25 บาท XD วันที่ 8 ส.ค. 62 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 23 ส.ค. 62 ยังคงประมาณการเงินปันผลรวมปี 2562 ไว้ที่ 5.25 บาท

Back to top button