พาราสาวะถี

ถามว่าความขัดแย้งภายในพรรคเพื่อไทยมีอยู่จริงหรือไม่ มีจริง แต่รุนแรงถึงขนาดที่เป็นข่าวหรือเปล่า ไม่ถึงขนาดนั้น แล้วเหตุไฉนมันถึงถูกจุดพลุเป็นประเด็นขยายแผลกันสนุกสนาน นั่นเป็นเพราะคุณแหล่งข่าวช่วยกันขยี้ตีไปที่ตัวบุคคล ซึ่งมันชวนให้เชื่อได้ว่าน่าจะเป็นจริง เพราะส.ส.อีสานกับ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ไม่กินเส้นกันมาแต่ไหนแต่ไร ไม่มีมูลเหตุอย่างอื่นที่เป็นความไม่พอใจระหว่างกันเป็นเรื่องของจัดสรรปันส่วนเก้าอี้ล้วน ๆ ทั้งในส่วนของงานฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ


อรชุน

ถามว่าความขัดแย้งภายในพรรคเพื่อไทยมีอยู่จริงหรือไม่ มีจริง แต่รุนแรงถึงขนาดที่เป็นข่าวหรือเปล่า ไม่ถึงขนาดนั้น แล้วเหตุไฉนมันถึงถูกจุดพลุเป็นประเด็นขยายแผลกันสนุกสนาน นั่นเป็นเพราะคุณแหล่งข่าวช่วยกันขยี้ตีไปที่ตัวบุคคล ซึ่งมันชวนให้เชื่อได้ว่าน่าจะเป็นจริง เพราะส.ส.อีสานกับ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ไม่กินเส้นกันมาแต่ไหนแต่ไร ไม่มีมูลเหตุอย่างอื่นที่เป็นความไม่พอใจระหว่างกันเป็นเรื่องของจัดสรรปันส่วนเก้าอี้ล้วน ๆ ทั้งในส่วนของงานฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ

แต่ภายหลังการรัฐประหารของคสช. ความบาดหมางที่เคยมีก็ไม่ได้หายไปไหน ยังคงอยู่ ทว่าสถานการณ์มันบังคับทำให้ทุกคนในพรรคของนายใหญ่ต้องหันหน้ามาปรองดองกัน เพื่อต่อสู้ศัตรูคนเดียวกัน จะเห็นได้ว่าในช่วงระยะขวบปีแรกหรือหลังจากนั้นระยะหนึ่ง ท่าทีของเจ๊หน่อยยังไม่ชัดเจน มีการทอดไมตรีมาจากฝ่ายเผด็จการเป็นระยะ ถึงกับสรรเสริญ เยินยอว่าเป็นนักการเมืองน้ำดี ภายใต้วาทกรรมนักการเมืองชั่ว นักการเมืองเลวของคณะผู้ยึดอำนาจ

อย่างไรก็ตาม เมื่อสัญญาณการเลือกตั้งเริ่มชัดเจน พร้อม ๆ กับข่าวเพื่อไทยต้องการเปลี่ยนหัวจาก พลตำรวจโทวิโรจน์ เปาอินทร์ ชื่อของคุณหญิงสุดารัตน์ก็กลับมาถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็มาหลุดหายไป นั่นก็เป็นเพราะกระแสต้านภายในพรรคจากส.ส.อีสานเป็นด้านหลักอีกนั่นแหละ แต่ด้วยความที่ ทักษิณ ชินวัตร ยังมองเห็นว่าเจ๊ใหญ่กทม.มีพลังในการที่จะต่อกรกับฝ่ายตรงข้ามได้ และเป็นผู้ที่มีแผลให้เล่นงานได้น้อย จึงยังคงได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่แกนนำหลักต่อไป

เมื่อความจริงเป็นสิ่งที่ต้องพบกันครึ่งทาง ฟากส.ส.อีสานก็ไม่ได้ทำตัวให้เป็นปัญหา พร้อมเดินตามบัญชาการที่คนแดนไกลได้สั่งมา จะเห็นได้ว่ามีการลงไปในพื้นที่อีสานอย่างต่อเนื่องสำหรับเจ๊หน่อยและทีมงานกทม. อาจจะรู้สึกประดักประเดิกกันบ้างเพราะไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันมาแต่ต้น แต่เมื่อมีเป้าหมายเพื่อดูแลและรักษาฐานเสียงสำคัญของพรรคไว้ ทุกคนจึงมุ่งมั่นทำงาน ต่างคนต่างทำหน้าที่ อาจจะมีบ้างบางเรื่องที่ไม่พอใจ ก็ใช้วิธีการให้แกนนำหารือแล้วสื่อสาร ทำความเข้าใจกัน

กรณีข่าวล่าสุดที่ไปไกลถึงขนาดที่ว่า “คนหัวเขียง” ประยุทธ์ ศิริพานิช ส.ส.มหาสารคาม ในฐานะประธานส.ส.ภาคอีสานของพรรค ลุกขึ้นตำหนิเจ๊หน่อยกลางวงมื้อค่ำที่ดูไบต่อหน้านายใหญ่ ก็เป็นการให้ข่าวในลักษณะที่เห็นได้ชัดว่าเพื่อต้องการขยายแผล ยุให้ขัดแย้งแหย่ให้แตกแยก เหมือนกับข่าวที่ออกมาก่อนหน้าว่า นายใหญ่พูดคุยกับคนของพรรคสืบทอดอำนาจให้ดูแลส.ส.ที่ฝากเลี้ยงไว้ให้ดีด้วย ล้วนแต่มีเป้าหมายเดียวกันคือ ทำให้ส.ส.ค่ายคนแดนไกลหวั่นไหว

อย่างไรก็ตาม หากทุกอย่างนิ่งการขยายผลดังว่าอาจจะประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ แต่ปรากฏว่าสถานการณ์ภายในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเองก็หาได้เป็นใจไม่ ในขณะที่จ้องจะเล่นงานฝ่ายตรงข้ามทำให้เซถีบให้เสียหลัก พวกเดียวกันเองในฝ่ายกุมอำนาจก็เกิดอาการเหยียบตาปลากันวุ่นวาย การนัดเคลียร์ใจจึงเกิดขึ้น ซึ่งผลของการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้จะเป็นบทพิสูจน์กาวใจยี่ห้อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับยาสมานแผลที่ชื่อ ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะใช้ได้หรือไม่

อย่างที่บอก หากจับอาการความไม่พอใจในซีกของภูมิใจไทย แม้จะถูกตบหน้าฉาดใหญ่ในประเด็นแบน 3 สารพิษแต่คนชื่อ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ไม่มีทางที่จะยอมให้เรื่องแค่นี้มาทำให้เสียการใหญ่ ดังนั้น เราจึงได้ยินคำถามอันหนักแน่นว่า พรรคร่วมรัฐบาลยังรักกันดี สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องปกติทางการเมือง เหมือนลูกอมรสน้ำผึ้งผสมมะนาว มีเปรี้ยวนิดหวานหน่อยเป็นธรรมดา อยู่ที่ว่ารู้จักปล่อยวางและให้อภัยกันได้หรือไม่

จะว่าไปคำว่าอภัยทางการเมืองอาจใช้ไม่ได้ผล น่าจะเป็นคำว่ารอจังหวะกันมากกว่า ในเมื่อยังไม่ถึงเวลารุกไล่ก็ต้องปล่อยให้ฝ่ายที่คิดว่าตัวเองกุมความได้เปรียบแสดงบทบาทกันอย่างเต็มที่ เมื่อโอกาสมาถึงเมื่อไหร่ ฝ่ายที่เฝ้ารอก็จะเอาคืนแบบทบต้นทบดอก เพราะพลพรรคเสี่ยหนูมองไปถึงปลายทางในการเลือกตั้งครั้งหน้าแล้วว่า ถ้ายังรักษาทรงไปแบบนี้ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ผิดกับพรรคแกนนำที่เต็มไปด้วยคำถาม ความเป็นไปได้ที่จะมีส.ส.เพิ่มมากกว่าปัจจุบันก็มีอยู่สูงไม่น้อย

ผิดกับพรรคเก่าแก่ ที่บาดแผลอันถูกกระทำจากพวกที่คิดว่าเป็นมิตรมาตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร มันบาดลึกและยากที่จะเยียวยา ดังนั้น หน้าฉากจึงต้องให้ระดับนำทั้ง จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และ เฉลิมชัย ศรีอ่อน ในฐานะหัวหน้าและแม่บ้านของพรรคทำหน้าที่เชื่อมสัมพันธรักษาไมตรีกันไว้ ขณะที่อีกด้านส.ส.คนสำคัญของพรรคที่เวลานี้มี เทพไท เสนพงศ์ เป็นตัวหลัก ก็จะรับบทเป็นตัวชน เสมือนฝ่ายค้านในรัฐบาล มุ่งกระแทกกลาง อ้างความหวังดีตีกินวิจารณ์ผลงานพวกเดียวกันและท่านผู้นำอย่างถึงกึ๋น

ใครจะคิดว่าคนอย่างเทพไทจะมองมิติการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ไม่ต่างจากขาประจำคสช.และรัฐบาลสืบทอดอำนาจอย่าง พิชัย นริพทะพันธุ์ วิจารณ์มาต่อเนื่อง พ่วงด้วยการฉายภาพความเป็นเผด็จการทหาร ที่ทำงานกันแบบเคยตัวสั่งซ้ายหันขวาหัน เมื่อหยิบยกเอาทั้งสองอย่างมาขยายภาพให้สังคมร่วมแสดงความรู้สึก ทั้งคนที่พูดและพรรคต้นสังกัดย่อมได้รับเสียงชื่นชมไปด้วย แต่จะเป็นเช่นนี้ไปจนถึงการเลือกตั้งหนหน้าหรือไม่ ยังไกลเกินไปที่จะคาดเดาและไม่รู้ว่าคนที่แสดงบทบาทเวลานี้จะยังคงเส้นคงวาหรือไม่

ฟากฝั่งของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หลังยอมถอดหัวโขนที่ไปเกี่ยวดองหนองยุ่งกับงานในสภา หันมาลุยงานด้านมวลชน พร้อม ๆ กับการรณรงค์เลิกเกณฑ์ทหารและขายแนวคิดชวนสงสัยเรื่องงบประมาณของกองทัพ ถือว่ามีเสียงตอบรับเป็นอย่างดี สร้างแรงกระเพื่อมได้หนักหน่วง ถึงขนาดที่รองนายกฯ ด้านความมั่นคง ต้องให้สัมภาษณ์ถึงแทบจะรายวัน เช่นเดียวกับการที่โฆษกกระทรวงกลาโหมและกองทัพต่างพากันออกมาโต้ปมเลิกเกณฑ์ทหารกันถี่ยิบทีเดียว

อาการที่แสดงออกมันทำให้เห็นแล้วว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับธนาธรและพรรคอนาคตใหม่นั้นมันมีที่มาที่ไปอย่างไร และปลายทางที่ทุกคนก็คาดการณ์ได้ว่ามันจะจบแบบไหน รอเพียงแค่ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อใดเท่านั้น ส่วนข้อกังวลที่ว่าจะมีการปลุกม็อบลงถนน ฟังจากปากธนาธรที่บอกว่าอยู่ที่ความรู้สึกของประชาชนไม่ใช่ตน มันยิ่งชวนให้เสียวสันหลังกันอยู่ไม่น้อย เพราะรัฐบาลสืบทอดอำนาจย่อมรู้ดีว่าอารมณ์และความรู้สึกของประชาชนที่ปัญหาปากท้องยังไม่ได้รับการแก้ไขนั้น มันยากที่จะคาดเดาได้ว่าจะเป็นอย่างไร

Back to top button