PSTC คาดปั้มรายได้ปีนี้กว่า 20% ตั้งงบพันลบ.ลงทุนรฟฟ.เพิ่ม-ย้ายเทรด SET กลางปี

PSTC คาดปั้มรายได้ปีนี้กว่า 20% ตั้งงบพันลบ.ลงทุนรฟฟ.เพิ่ม-ย้ายเทรด SET กลางปี


ดร.พระนาย กังวาลรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพาเวอร์ โซลูชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ PSTC เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในงวดปี2562 บริษัท และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,129 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,596% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 84.64 ล้านบาท และบันทึกกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์

สำหรับรายได้รวมอยู่ที่ 6,596 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 121% จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวมเท่ากับ 2,986.65 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้ต่อหุ้น (D/E) ลดลงกว่าครึ่ง เหลือเพียง 0.48 เท่า จากเดิม 0.9 เท่า

โดยสาเหตุที่ผลการดำเนินงานปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมีรายได้เพิ่มขึ้นในส่วนโครงการกลุ่มลูกค้าหน่วยงานราชการ และงาน EPC รายได้จากขายก๊าซธรรมชาติ และการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายไฟฟ้า ซึ่งเป็นผลจากการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าช่วงปีก่อน ขณะเดียวกัน มีรายได้พิเศษจากการขายหุ้นสามัญของบริษัทไทย ไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ขณะเดียวกัน สามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวดปี 2562 ให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.01 บาท โดยจะกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 16 มี.ค. และพร้อมจ่ายเป็นเงินสดในวันที่ 29 พ.ค.63

การดำเนินธุรกิจในปีที่ผ่านมามีทิศทางที่ดี และจะเป็นฐานที่สำคัญช่วยให้บริษัทฯมีการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ จากงานในมือรอรับรู้รายได้เพิ่มขึ้น และการรุก ขยายการลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ เพื่อสร้างรายได้ประจำอย่างสม่ำเสมอ ช่วยสนับสนุนผลประกอบการในอนาคตให้มั่นคง”ดร.พระนายกล่าว

สำหรับปี 2563 บริษัทฯตั้งเป้ารายได้เติบโตมากกว่า 20% จากปีก่อน โดยบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตไวรัสที่แพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากธุรกิจทุกกลุ่มมีสัญญาณที่ดี รวมทั้งมีงานในมือรอรับรู้รายได้ในส่วนของธุรกิจ EPC ไว้แล้วกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้อย่างต่อเนื่อง และรวมถึงมีโรงไฟฟ้าชีวภาพอยู่ระหว่างการทดสอบขนานไฟอยู่อีก 5.6 MW. และคาดว่าจะเริ่มขายไฟฟ้าได้ภายในสิ้นเดือน ก.พ. นี้

ขณะที่บริษัทเตรียมงบลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยเน้นการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้า Private PPA เพื่อสร้างรายได้และผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยปัจจุบันบริษัทฯมีความพร้อมทั้งแหล่งเงินทุนและเทคโนโลยี รวมทั้งยังเดินหน้าลงทุนในธุรกิจด้านการจำหน่ายระบบก๊าซ LNG ให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมเพิ่มเติม

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการขอมติผู้ถือหุ้น รวมพาร์เป็นมูลค่า 0.50 บาท จาก 0.10 บาท และยื่นขอย้ายหุ้นไปซื้อขาย ในกระดานหลักของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จากปัจจุบันซื้อขายอยู่ใน MAI เพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจให้เติบโตแบบยั่งยืน และเปิดโอกาสให้กลุ่มนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในและต่างประเทศเข้ามาลงทุนกับบริษัทเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะดำเนินการตามขั้นตอนให้แล้วเสร็จภายในกลางปีนี้

Back to top button