อวดโฉม 8 หุ้น SET100 วิ่งสู้โควิด-ชนะตลาดฯสุดแกร่ง 4 เดือนแรกปีนี้  

อวดโฉม 8 หุ้น SET100 วิ่งสู้โควิด-ชนะตลาดฯสุดแกร่ง 4 เดือนแรกปีนี้  


ภาวะตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ยังอยู่ในโหมดของการพักตัว หรือ ปรับฐานเพื่อลดความร้อนแรงจากที่ฟื้นตัวเร็วในเดือนเม.ย.อย่างไรก็ตามภาพรวมตลาดในช่วง 4 เดือนแรกปี 2563 ยังเป็นขาลงโดยเห็นได้จากดัชนี SET ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 อยู่ที่ระดับ 1579.84 จุด อ่อนตัวมาอยู่ที่ระดับ 1301.66 จุด ณ วันที่ 30 เม.ย.63 ลดลง 278.18 จุด หรือลดลง 17.60% เนื่องจากช่วงดังกล่าวภาวะตลาดได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อย่างหนัก ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นพื้นฐานแกร่งส่วนนราคารับตัวลงแรงเกินพื้นฐานในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามยังมีหุ้นพื้นฐานแกร่งหลายตัวที่วิ่งสวนภาวะตลาดและฝ่าวิกฤติโควิดมาได้อย่างแข็งแกร่ง ดังนั้นทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจกลุ่มหุ้น SET100 ดังกล่าวมานำเสนอโดยเปรียบเทียบข้อมูลราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.62-30 ม.ย.63 ตามตารารางประกอบดังนี้

โดยหุ้นทั้ง 8 ตัวปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งและสวนภาวะตลาดช่วงโควิด-19 ระบาดหนักได้อย่างสดใส ส่วนใหญ่มีปัจจัยบวกเข้ามาหนุน ทั้งเรื่องแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/63 ออกมาสดใส และแผนธุรกิจปีนี้โดดเด่นทำให้นักลงทุนเข้ามาไล่ราคาหุ้นในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้

สำหรับบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ราคาหุ้น 4 เดือนแรกปีนี้ปรับตัวขึ้น 30% จากระดับ 10.00 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.62  บวกไป 3.00 บาท  มาอยู่ที่ระดับ 13.00 บาท ณ วันที่ 30 เม.ย.63 เนื่องจากธุรกิจถุงมือยางได้รับประโยชน์จากสถานการณ์โควิด-19 ระบาดและเป็นบวกต่อผลการดำเนินงานไตรมาส1/2563 และทั้งปีนี้

บล.คิงส์ฟอร์ด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า STA ตลาดประเมินกำไรไตรมาส 1 ที่ 292 ลบ. พลิกจากขาดทุน เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ +294%เทียบไตรมาสก่อนหน้า ธุรกิจหลักที่เป็นตัวหนุนประกอบการคือธุรกิจขายถุงมือยาง

ซึ่งทั้งรายได้จากการขายและทิศทางทางอัตรากำไรขึ้นต้นปรับตัวขึ้นดีกว่าปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ หลังการขยายโรงงาน 2 แห่งที่หาดใหญ่และตรัง (SCOD กุมภาพันธ์ 63) ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งอีกราว 9,228 ล้านชิ้นต่อปี

โดยบริษัทมีเป้าหมายการเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมดในปี 2563 ที่ 31,994 ล้านชิ้น/ปี +17.83%เทียบไตรมาสก่อนหน้า และมีเป้าของ Utilization Rate ที่ 95% ทำให้บริษัทแม่อย่าง STA ในปีนี้ลุ้นการ Turn Around เบื้องต้นตลาดประเมินกำไรสุทธิของ STA ปี 2563-2564 ที่ระดับ 1.38 พัน ลบ. และ 1.44 ลบ. พลิกจากขาดทุนในปี 2562 และ +4.34% ในปี 2564

 

ส่วนบริษัท ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TQM ราคาหุ้น 4 เดือนแรกปีนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 19.32% จากระดับระดับ 66.00 บาท ณ วันที่ 30 .ค.62 บวก 12.75 บาท มาอยู่ที่ระดับ 78.75 บาท ณ วันที่ 30 เม.ย.63 โดยหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์โควิด-19 ระบาดเนื่องจากมียอดทำประกันไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้นแรงในช่วงดังกล่าวทำให้นักลงทุนเข้ามาไล่ราคา

บล.บัวหลวง แนะนำ “ซื้อ” TQM ราคาเป้าหมาย 83 บาท โดยคาดกำไรไตรมาส 1/2563 ที่ 161 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และ 7% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา (QoQ) ได้ปัจจัยหนุนจากยอดขายประกันทั้งกลุ่มยานยนต์ และประกันโควิด-19 ที่มีเข้ามามากกว่า 1 ล้านรายการ

นอกจากนี้ คาดว่าบริษัทจะมีกำไรที่โตต่อเนื่องไปในไตรมาส 2/2563 ส่วนประกลุ่ม non-life คาดจะมีการต่ออายุตามปกติ ขณะที่ประกันโควิด-19 ที่อัตราการเคลมไม่ได้สูง คาดจะมีการเปิดขายใหม่อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าบริษัทมีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับการขยายกิจการผ่านการควบรวม หลังจากที่แล้วบริษัทได้ซื้อ TJN เข้ามา ทั้งนี้ การจับมือกับพันธมิตรเพื่อออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ หรือพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิม ก็ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการหนุนผลประกอบการให้เติบโตอีกด้วย

 

ด้านบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 อยู่ที่ระดับ 33.20 บาท บวก 5.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น 16.72% มาอยู่ที่ระดับ 38.75 บาท ณ วันที่ 30 เม.ย.63

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า หุ้นที่ได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันลดลง ได้แก่ กลุ่มไฟฟ้า (BGRIM GPSC GULF) โดยต้นทุนหลักกว่า 70% มาจากก๊าซธรรมชาติซึ่งเชื่อมโยงกับราคาน้ำมัน โดยโรงไฟฟ้า SPP จะได้ประโยชน์ก่อนมีการปรับค่า Ft เพื่อสะท้อนต้นทุนการผลิตใหม่

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ในกลุ่มโรงไฟฟ้า แนะนำ GULF โดยยังคงมีมุมมองเชิงบวกจากแนวโน้มกำไรปกติปี 2563 ที่คาดว่าจะเติบโต 33% และ 5-10 ปีข้างหน้าเติบโตโดดเด่นต่อ เนื่องจากโรงไฟฟ้าใหม่ที่ทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) โดยมีสัญญา PPA รองรับ และมีศักยภาพในการขยายกำลังการผลิตอีกจาก Potential Projects ต่าง ๆ โดยเชื่อว่าฐานะการเงินยังอยู่ในระดับจัดการได้ แม้จะมีการลงทุนสูงใน 5 ปีข้างหน้า ขณะที่ความเสี่ยงจากโควิด-19 มีจำกัด จากสัดส่วนรายได้จากลูกค้าอุตสาหกรรมเพียง 11%

ด้านแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/2563 ของ GULF คาดว่ากำไรปกติจะกลับมาเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ส่วนใหญ่มาจากการซ่อมบำรุงของโรงไฟฟ้าในกลุ่มบริษัทร่วมน้อยลง และเป็นกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 อยู่ที่ระดับ 26.00 บาท บวก 3.00 บาท หรือเพิ่มขึ้น 11.54% มาอยู่ที่ระดับ 29.300 บาท ณ วันที่ 30 เม.ย.63

บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น MEGA ประเมินราคาเป้าหมายที่  41.50 บาท/หุ้น โดยน่าจะได้รับประโยชน์ทางอ้อมจากการระบาดของโควิด-19 เนื่องจากคนส่วนใหญ่หันมาดูแลร่างกายให้แข็งแรงมากขึ้น โดยเฉพาะการทานวิตามินซี ทำให้ช่วงนี้วิตามินซีขายดีเป็นพิเศษ

ขณะที่วิตามินซีเป็นสินค้าหลักของ MEGA ซึ่งช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.63 ยอดขายของ MEGA ยังเติบโตดีอยู่ รวมถึงซัพพลายเชนต่างๆ ก็ไม่ได้อยู่ในประเทศกลุ่มเสี่ยง แต่หลัก ๆ จะอยู่ในไทยและอาเซียน ทำให้ยังสามารถผลิตสินค้าได้เป็นปกติ ซึ่งทางฝ่ายวิเคราะห์มองว่า MEGA จะได้รับผลกระทบเชิงลบจากปัจจัยดังกล่าวน้อย และน่าจะเป็นเชิงบวกมากกว่า

 

บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ราคาหุ้น 4 เดือนแรกปีนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 อยู่ที่ระดับ 14.20 บาท บวก 1.30 บาท หรือเพิ่มขึ้น 9.15% มาอยู่ที่ระดับ 15.50 บาท ณ วันที่ 30 เม.ย.63 เนื่องจากธุรกิจก่อสร้างได้รับผลกระทบจำกัดแม้อยู่ในช่วงเคอร์ฟิว และคาดโครงการ “อู่ตะเภาฯ” ดันแบ็กล็อกปีนี้แตะ 8.4 หมื่นล้านบาท

ด้าน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะนำ “ซื้อ” หุ้น STEC ราคาเป้าหมาย 18.00 บาท หลังมีความคืบหน้าในโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โดยเมื่อวานนี้แหล่งข่าวคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการดังกล่าว ออกมาระบุว่าขณะนี้มีความคืบหน้าการเจรจากับกลุ่ม BBS ใกล้เสร็จสิ้นแล้ว

โดยคาดว่าจะสามารถส่งสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดได้ในสัปดาห์หน้า จากนั้นจึงจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และคาดว่าจะลงนามสัญญาได้ประมาณ พ.ค. นี้

 

ด้านบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ราคาหุ้น 4 เดือนแรกปีนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 อยู่ที่ระดับ 6.85 บาท บวก 0.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น 7.30% มาอยู่ที่ระดับ 7.35 บาท ณ วันที่ 30 เม.ย.63

โดยราคาหุ้นที่ปรับตัวแรงในช่วงดังกล่าวส่วนใหญ่นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งแม้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ คนร. จะพิจารณาเห็นชอบในหลักการแผนฟื้นฟู “การบินไทย” ตั้งแต่วันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมาแล้ว ก็ยังต้องรอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. อนุมัติแผนฟื้นฟูกิจการอีกครั้ง

 

บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER ราคาหุ้น 4 เดือนแรกปีนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 อยู่ที่ระดับ 0.56 บาท บวก 0.02 บาท หรือเพิ่มขึ้น 3.57% มาอยู่ที่ระดับ 0.58 บาท ณ วันที่ 30 เม.ย.63

นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ SUPER  เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/63 น่าจะเติบโตกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรับรู้รายได้การจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนาม กำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ ซึ่งมีการเริ่ม COD ไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาตั้งแต่ในไตรมาสแรกของปีนี้

ขณะที่ทั้งปี 63 บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้จะเติบโตได้ราว 10-15% และกำไรสุทธิจะเติบโตไปตามรายได้ จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 6.25 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 2.14 พันล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทเตรียม COD โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศเวียดนามอีก 4 โครงการ กำลังผลิตติดตั้งรวม 750 เมกะวัตต์ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างคาดจะสามารถ COD ได้ในไตรมาส 4/63 วางงบลงทุนราว 1.5 หมื่นล้านบาท

 

ส่วน บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP  ราคาหุ้น 4 เดือนแรกปีนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 อยู่ที่ระดับ 40.50 บาท บวก 1.00 บาท หรือเพิ่มขึ้น 2.46 มาอยู่ที่ระดับ 41.50 บาท

บล.ดีบีเอสฯ  ระบุว่า OSP กำไรหลักไตรมาส 1/63 เป็น 855 ล้านบาท (-3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, -4% เทียบไตรมาสก่อนหน้า) ได้รับผลกระทบทางลบจากค่าใช้จ่ายขาย-บริหารที่ปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาสนี้ คาดว่ากำไรในงวดไตรมาส 2/63 จะกลับมาฟื้นตัวได้ โดยเฉพาะในงวดครึ่งหลังปีนี้จะยิ่งเติบโต เพราะมีกำลังการผลิตสินค้าใหม่เข้ามาช่วยเสริม

คงคำแนะนำ ซื้อ และคงราคาพื้นฐานไว้ที่ 48.00 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 11% คาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรหลักปีนี้และปีหน้าอยู่ในเกณฑ์ดีเป็น +14%/+15% เทียบ เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button