ทริสฯ หั่นเรทติ้งองค์กร-หุ้นกู้ AMATA เหลือ “A-” สะท้อนภาระหนี้เพิ่ม-ธุรกิจนิคมอุตฯผันผวน

ทริสฯ หั่นเรทติ้งองค์กร-หุ้นกู้ AMATA เหลือ "A-" จากเดิม "A" แนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนภาระหนี้เพิ่ม-ธุรกิจนิคมอุตฯผันผวน


ทริสเรทติ้ง ปรับลดอันดับเครดิตองค์กร และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ ของ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA มาอยู่ที่ระดับ “A-” จากเดิมที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่”

โดยการปรับลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงภาระหนี้ของบริษัทที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากแผนการลงทุนขนาดใหญ่ที่จะมีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอุปสงค์ในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมที่อ่อนแอลงมากจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยอันเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อันดับเครดิตยังคงพิจารณาถึงความผันผวนของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงความเสี่ยงของประเทศและความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของบริษัทในต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงผลงานที่ได้รับการยอมรับของบริษัทในฐานะหนึ่งในผู้นำในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย รวมทั้งฐานรายได้ประจำจำนวนมากจากธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภคและเงินปันผลรับจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าหลายแห่ง

ทั้งนี้ภาระหนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการขยายงานอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา หนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2563 จาก 7.0 พันล้านบาทในปี 2560 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 44.1% ณ เดือนมีนาคม 2563 จาก 31.7% ในปี 2560

โดย ทริสเรทติ้ง คาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากบริษัทมีโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการรออยู่ บริษัทมีแผนในการซื้อและพัฒนาที่ดินในประเทศไทย ตลอดจนพัฒนานิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่หลายแห่งในประเทศเวียดนาม เมียนมาร์ และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ทริสเรทติ้งคาดว่าค่าใช้จ่ายลงทุนของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 6-7 พันล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า

แผนการลงทุนจำนวนมาก กอปรกับภาวะอุปสงค์ที่อ่อนแอลงของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและความล่าช้าของโครงการในต่างประเทศหลายโครงการจะส่งผลให้ภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นมาก ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 8-9 เท่าในปี 2563-2565 จากระดับ 4.2 เท่าในปี 2562 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มมาอยู่ที่ 47%-55% ในปี 2563-2565 จากระดับ 40.5% ในปี 2562

ยอดขายที่ดินลดลงจากโควิด-19 ไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมลดลง จากมาตรการควบคุมการเดินทาง ตลอดจนเศรษฐกิจที่ตกต่ำจากการแพร่ระบาดของไวรัส

ส่วนทริสเรทติ้งปรับลดแนวโน้มการเติบโตของบริษัทลงจากประมาณการเดิม เพื่อสะท้อนถึงความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดดังกล่าว ทั้งนี้ เราคาดการณ์ว่ายอดขายที่ดินจะหดตัวลงในปี 2563 และจะค่อย ๆ ฟื้นตัวดีขึ้นในปี 2564 เป็นต้นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น จากมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมทั้งสิทธิประโยชน์ทางภาษีในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก

ทั้งนี้ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการขายที่ดินจะลดลงจาก 3.2 พันล้านบาทในปี 2562 มาอยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท ในปี 2563 และจะค่อย ๆ ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2.4-3.7 พันล้านบาทในปี 2564-2565

ในอนาคตข้างหน้า ทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าบริษัทจะยังคงได้ประโยชน์จากโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกจากการที่บริษัทมีที่ดินจำนวนมากถึงประมาณ 13,000 ไร่ในจังหวัดชลบุรีและระยอง อีกทั้งความต้องการในการย้ายฐานการผลิตซึ่งเป็นผลมาจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Disruption) ในช่วงโควิด-19 และความตึงเครียดของสงครามทางการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีน

รวมถึงการลดลงของรายได้จากประเทศเวียดนาม ในระหว่างปี 2559-2561 บริษัทมียอดขายที่ดินในเวียดนามจำนวน 40-220 ไร่ต่อปี รายได้จากการขายที่ดินในประเทศเวียดนามอยู่ที่ระดับ 356-642 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 16%-33% ของรายได้จากการขายที่ดินทั้งหมดของบริษัท อย่างไรก็ตาม รายได้จากการขายที่ดินในเวียดนามลดลงมาเหลือเพียง 62 ล้านบาทในปี 2562 หรือเท่ากับจำนวน 13 ไร่ เนื่องจากบริษัทไม่มีที่ดินที่พร้อมรอขาย

ขณะที่ยอดขายที่ดินในประเทศเวียดนามจะยังคงลดลงในปี 2563-2564 บริษัทยังคงเผชิญความไม่แน่นอนในหลายประเด็นที่เกิดจากความล่าช้าของการได้รับใบอนุญาตเพื่อที่จะพัฒนาที่ดิน สำหรับนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ในประเทศเวียดนามของบริษัทคือ Amata City Long Thanh (ACLT) และ Amata City Halong (ACHL) นั้นอยู่ในระหว่างขั้นตอนการยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้าง ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่า ทั้ง 2 โครงการดังกล่าวจะล่าช้าต่อไปอีกและคาดว่ารายได้จะเริ่มเข้ามาในปลายปี 2564

 

Back to top button