JMART ควงแขน JMT วิ่งแรง! โบรกฯ มองบวกเพิ่มทุนเสริมแกร่ง ลุ้นกำไรนิวไฮต่อเนื่อง

JMART ควงแขน JMT วิ่งแรง! โบรกฯ มองบวกเพิ่มทุนเสริมแกร่ง ลุ้นกำไรนิวไฮต่อเนื่อง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ  JMART ล่าสุด ณ เวลา 10.24 น. อยู่ที่ระดับ 15 บาท ปรับตัวขึ้น 1.20 บาท หรือ  8.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 609.81 ล้านบาท

ขณะเดียวกันราคาหุ้น บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ  JMT อยู่ที่ระดับ 31.50 บาท ปรับตัวขึ้น 1.25 บาท หรือ 4.13% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 160.57 ล้านบาท

โดยเมื่อวันที่ 10 ก.ย.2563 ที่ผ่านมา JMART และ JMT แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) จำนวน 362.64 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 1.1 พันล้านบาท เป็น 1.47 พันล้านบาท โดยออกหุ้นใหม่ 362.64 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (RO) จำนวนไม่เกิน 271.98 ล้านหุ้น และบุคคลในวงจำกัด (PP) ไม่เกิน 90.66 ล้านหุ้น โดยคณะกรรมการบริษัทจะเป็นผู้พิจารณาอนุมัติรายละเอียดการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนต่อไป

สำหรับวัตถุประสงค์ในการเพิ่มทุน เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและความรวดเร็วในการระดมทุนในกรณีที่บริษัทมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินเพิ่มทุน และทำให้บริษัทมีแหล่งเงินทุนที่มีความพร้อมสำหรับการลงทุนหรือการขยายธุรกิจในอนาคตได้อย่างทันกาล อีกทั้งยังช่วยเสริมสภาพคล่องและส่งผลให้โครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่งและมั่นคงมากยิ่งขึ้น อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อบริษัท ตลอดจนช่วยสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว

นอกจากนี้คณะกรรมการยังอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ไม่เกิน 3 พันล้านบาท อายุไม่เกิน 20 ปี เพื่อชำระคืนหนี้คงค้าง และ/หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน รวมทั้งการขยายธุรกิจ

ทั้งนี้ บริษัทกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2563 ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 เพื่อพิจารณาเรื่องการเพิ่มทุนและออกหุ้นกู้ดังกล่าว

ด้าน นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART กล่าวว่า เจมาร์ท เป็น Investment Company ที่พร้อมจะลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการเติบโตสูง และเพิ่มประสิทธิภาพในการระดมทุน ถ้ามีโอกาสทางธุรกิจดีๆ เข้ามา ไม่ต้องใช้เวลามากในการระดมทุนภายใต้สถานการณ์ในปัจจุบัน จึงเป็นที่มาของการขอกรอบการเพิ่มทุนในครั้งนี้ ซึ่งเป็นเพียงแค่กรอบในการระดมทุนเพื่อเตรียมพร้อมรับโอกาส รวมทั้ง การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในบริษัทย่อยที่มีศักยภาพเพิ่มเติม ซึ่งเชื่อว่าจะสร้างผลลัพธ์ที่คุ้มค่าต่อผู้ถือหุ้นในระยะยาว

ขณะที่ ดีลการจับมือพันธมิตรกับ KB Kookmin Card ผู้นำธุรกิจบัตรเครดิตจากเกาหลีใต้คาดว่าจะปิดดีลได้ภายในไตรมาส 4/2563 รวมทั้ง บริษัทในกลุ่มเจมาร์ทยืนยันยังเดินหน้าโตต่อตามแผน หลังในช่วงที่ผ่านมา รายงานผลประกอบการออกมาอย่างน่าประทับใจ สะท้อนความสำเร็จในการเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากการลงทุน ในฐานะเจมาร์ทเป็น Investment Company

 

ด้าน บล.ทรีนีตี้ แนะนำ “ซื้อ” JMT ราคาเป้าหมาย 35 บาท/หุ้น หลังจากเมื่อวานนี้ (14 ก.ย. 63) JMT ได้จัดประชุมนักวิเคราะห์ โดยมีประเด็นสำคัญ คือ มติคณะกรรมการเพื่อขอเพิ่มทุนแบบ General Mandate โดยเป็น RO 267.45 ล้านหุ้น และ PP 89.15 ล้านหุ้น ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องใช้ 63-64 นี้ และเหตุผลในการขอ General Mandate ครั้งนี้เพื่อรองรับโอกาสในอนาคต

โดยในส่วนของ RO เป็นทางเลือกของแหล่งเงินทุนอันดับท้ายๆ เพื่อรองรับการซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มเติมในปี 63-64 เนื่องจากมีโอกาสที่สถาบันการเงินอาจขายหนี้ออกมาจำนวนมากในช่วงเวลาดังกล่าวในราคาที่น่าสนใจ ขณะที่การเพิ่มทุนแบบ PP เป็นการรองรับแผนการซื้อกิจการแบบ M&A โดยจะใช้วิธีการแลกหุ้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินสด และคาดว่าราคาที่ใช้ในการแลกหุ้นจะไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมของ JMT เสียเปรียบ เนื่องจากแม้จะเกิด Earning Dilution (เต็มที่ราว 10%) แต่อาจชดเชยได้ด้วยกำไรของบริษัทที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการเจรจา โดยสรุปแม้ในกรณีที่บริษัทจำเป็นต้องเพิ่มทุนทั้งในส่วน RO และ PP เรามองว่าจะมีการนำเงินไปลงทุนทั้งในส่วนของการซื้อหนี้และธุรกิจ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อกำไรชดเชย Dilution Effect ที่เกิดขึ้นได้ เราจึงมองประเด็นดังกล่าวไม่ได้เป็นลบอย่างที่สะท้อนในราคาหุ้น

ทั้งนี้ คาดกำไรครึ่งปีหลังของปีนี้ และปี 64 จะเติบโตทำ New High ต่อเนื่อง โดยกำไรครึ่งปีหลังจะได้รับผลบวกเต็มที่จากการตัดต้นทุนหนี้บางกองหมดในไตรมาส 2/2563 ที่ผ่านมา ขณะที่กำไรของปี 2564 จะได้รับผลบวกจากฐานหนี้ใหญ่ขึ้นจากการลงทุนซื้อหนี้ต่อเนื่อง บวกกับอาจมีการกลับสำรองประกัน COVID-19 ที่ตั้งไว้สูงถึง 150% ในไตรมาส 1/2563 ทั้งนี้ยังคงประมาณการกำไรปี 63-64 ไว้ที่ 937 ล้านบาท (+38% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน) และ 1,196 ล้านบาท (+28% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน) ตามลำดับ

ทั้งนี้ ยังคงราคาเป้าหมายสำหรับปี 64 ที่ 35 บาท อิงวิธี DCF โดยราคาหุ้นที่อ่อนตัวลงมาสะท้อนความกังวลจากการเพิ่มทุนทำให้ราคาหุ้นปัจจุบันเริ่มมี Upside จึงปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ”

 

 

Back to top button