DIF ร่วง 3% หลัง TRUE ขาย 300 ล้านหน่วย ฟากโบรกฯ ชี้ไม่กระทบพื้นฐาน

DIF ร่วง 3% หลัง TRUE ขาย 300 ล้านหน่วย ฟากโบรกฯ ชี้ไม่กระทบพื้นฐาน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหน่วยกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล หรือ DIF ล่าสุด ณ เวลา 10.22 น. อยู่ที่ 13.80 บาท ลบ 0.40 บาท หรือ 2.82% สูงสุดที่ 13.90 บาท ต่ำสุดที่ 13.70 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 4.45 พันล้านบาท

โดยราคาปรับตัวลดลงหลังบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 29 ก.ย.63 ได้มีมติอนุมัติการจำหน่ายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมดิจิทัล (DIF) ที่ถือโดยบริษัทฯ และบริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย จำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 300 ล้านหน่วย คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 2.822 ของจำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมดของกองทุนฯ ให้แก่นักลงทุนที่มิใช่บุคคลที่เกี่ยวโยงกันกับบริษัท โดยการกำหนดราคาเสนอขายที่แน่นอนจะกระทำโดยวิธีการสำรวจความต้องการซื้อหน่วยลงทุนจากนักลงทุนที่สนใจ (Book Building)

ทั้งนี้ วันที่เกิดรายการจะเป็นวันที่ 30 ก.ย.63 ซึ่งกลุ่มบริษัทจำหน่ายหน่วยลงทุนของกองทุนฯ จำนวน 298,113,200 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 2.804 ตามราคาที่กำหนดโดยวิธี Book Building ซึ่งมีจำนวน 4,024.528 ล้านบาท ภายหลังการจำหน่ายหน่วยลงทุนจำนวนดังกล่าว ส่งผลให้สัดส่วนการถือหน่วยลงทุนของกลุ่มบริษัทในกองทุน ลดลงจากร้อยละ 26.183 เหลือร้อยละ 23.379 ของจำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมดของกองทุน บริษัทฯมีแผนที่จะนำเงินที่ได้รับการจำหน่ายหน่วยลงทุนของกองทุน เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของกลุ่มบริษัทฯ

โดยเช้าวันนี้ (30 ก.ย.) มีรายการสรุปซื้อขายกระดานรายใหญ่ (Big lot) ของ DIF จำนวน 19 รายการ ปริมาณ 296,263,200 หน่วย มูลค่ารวม 3.99 พันล้านบาท ราคาเฉลี่ย 13.50 บาทต่อหุ้น

ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ มอง Slightly negative sentiment ต่อข่าว TRUE ขายหุ้น DIF ราว 2.8% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ราคาประมาณ 13.50-14 บาท อย่างไรก็ตาม ยังมองว่าปัจจัยพื้นฐาน DIF ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

โดยหลังการขายหุ้นครั้งนี้ TRUE ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สัดส่วนราว 23.28% ประกอบกับ TRUE ยังมีเงื่อนไขต้องคงสัดส่วนการถือ DIF ไม่ต่ำกว่า 8% ของจำนวนหุ้นชำระแล้ว รวมทั้งยังเป็นผู้เช่าหลักและต้องจ่ายค่าเช่าตามสัญญาที่ตกลงไว้กับกองทุนฯ ซึ่งสัญญาเช่ามีอายุคงเหลืออีก 13 ปี (สิ้นสุดปี 2033) ทำให้คาดว่า DIF จะมีกระแสเงินสดจากค่าเช่าต่อเนื่อง และสามารถจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ

สำหรับแนวโน้มไตรมาส 3/63 คาดว่า DIF จะมีกระแสเงินสดเติบโตเมื่อเทียบจากปีก่อน และใกล้เคียงเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน ตามค่าเช่าที่ได้รับจากกลุ่ม TRUE รวมทั้งคาดว่า DIF จะสามารถจ่ายเงินปันผลหน่วยละ 0.26 บาท/หุ้น (yield 1.8%) ใกล้เคียงกับไตรมาส 2/63

โดยปัจจัยพื้นฐาน DIF Consensus คาดว่าในปี 2563-2564 จะจ่ายเงินปันผลต่อปีราว 1.04 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend yield เฉลี่ย 7.5% โดย Consensus ประเมินราคาเป้าหมายที่ 16.90 บาท

ส่วน บล.โกลเบล็ก มีมุมมองเป็นกลาง โดยข่าวดังกล่าวเป็นเพียง Sentiment เชิงลบระยะสั้น และไม่กระทบต่อผลการดำเนินงานของ DIF

Back to top button