MEGA คาดรายได้ปีนี้โต 10% หลังออกผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อเนื่อง ปักธงกำไรปี 68 แตะ 2.4 พันลบ.

MEGA คาดรายได้ปีนี้โต 10% หลังออกผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อเนื่อง ปักธงกำไรปี 68 แตะ 2.4 พันลบ. จากปี 2562 มีกำไรสุทธิ 1,138 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยปีละ 6-10% ในช่วงระหว่างปี 64-68


นายวิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ามีกำไรสุทธิในปี 2568 หรืออีก 5 ปีจะเติบโตกว่าเท่าตัวเป็น 2,400 ล้านบาทจากปี 2562 มีกำไรสุทธิ 1,138 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 6-10% ในช่วง 5 ปี (ปี 64-68)

ขณะที่ปีนี้ก็คาดว่ารายได้จะเติบโต 6-10% จากปีก่อนอยู่ที่ 12,643.07 ล้านบาท เป็นไปตามการเติบโตทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 30% และ 70% ตามลำดับ รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่องในปีนี้ ประมาณ 60 รายการ และในปี 2565 อีก 30-40 รายการ จากแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมดประมาณ 200 รายการในช่วง 5 ปีนี้ ครอบคลุมทั้งอาหารเสริมในกลุ่มแม่และเด็ก ผู้สูงอายุ, ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่มาจากสมุนไพร และพืช ภายใต้แบรนด์ MEGA We Care ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาแก้ไข คาดว่าจะเห็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ได้ในครึ่งปีหลังนี้

พร้อมกันนี้แผนการดำเนินงานตลาดต่างประเทศในปีนี้ บริษัทฯ ยังคงขยายธุรกิจไปในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งก็จะกระจายไป ยูเครน, ปากีสถาน รวมถึงขยายธุรกิจในทวีปแอฟริกาที่มีแนวโน้มการเติบโต อาทิ แอฟริกาใต้, โคลัมเบีย, บราซิล

ส่วนประเทศอินโดนีเซีย ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เข้าลงทุนใน PT Futamed Pharmaceuticals ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตยา การทำตลาดผลิตภัณฑ์สุขภาพ ปัจจุบันได้ดำเนินการในส่วนของการขยายโรงงาน การพัฒนาโรงงานเพื่อเก็บยา รวมถึงอยู่ในกระบวนการยื่นทะเบียนยา และผลิตยาในประเทศ ซึ่งอาจใช้เวลาในการขึ้นทะเบียน 2-3 ปี เนื่องจากไม่สามารถนำเข้ายาได้จึงต้องผลิตยาเอง อีกทั้งยังอยู่ในกระบวนการขออนุญาตการติดตั้งเครื่องจักรด้วย อย่างไรก็ตามบริษัทฯ วางเป้าหมายจะมีรายได้และกำไรจากตลาดอินโดนีเซียราว 30 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 68

สำหรับตลาดในประเทศเมียนมา ปัจจุบันบริษัทฯ ยังไม่มีแผนที่จะยุบธุรกิจทิ้ง เนื่องจากมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ยายังมีความจำเป็นอยู่

ด้านแผนการผลิตสินค้าจากกัญชง (CBD) บริษัทฯ ไม่ปิดกั้นโอกาส ซึ่งหากรายใดที่สามารถจำหน่ายสารสกัดให้แก่บริษัทได้ และมีคุณภาพสูง บริษัทฯ ก็มีความพร้อมที่จะนำมาผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งบริษัทก็มีความพร้อมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีในการผลิต รวมถึงทางบริษัทก็มีพาร์ทเนอร์ และมีการวิจัยในบางส่วนแล้ว ซึ่งรอความชัดเจนด้านกฎหมายจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ว่าจะสามารถนำสารสกัดมาทำ หรือทำอาหารเสริมได้หรือไม่

นอกจากนี้ บริษัทฯ วางงบลงทุนในปี 64-65 รวม 709 ล้านบาท แบ่งเป็น การก่อสร้างโรงงานผลิตยาในรูปแบบใหม่ ศูนย์ควบคุมคุณภาพและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ศูนย์กระจายสินค้าและบริการอื่นๆ จำนวน 355 ล้านบาท, การก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าและพื้นที่สำนักงานในประเทศเมียนมา จำนวน 183 ล้านบาท และก่อสร้างโรงงานผลิตยาในรูปแบบใหม่ในประเทศอินโดนีเซีย จำนวน 171 ล้านบาท

อีกทั้ง บริษัทยังวางงบลงทุน 5 ปี พัฒนาดิจิทัลเวลเนส จำนวน 200-300 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับธุรกิจ และเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคดูแลสุขภาพตัวเองได้ ภายใต้ชื่อ Health the Hope ขณะนี้กำลังดำเนินการพัฒนาแอปพลิเคชั่น เพื่อสอนให้คนสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้ คาดว่าจะเห็นในอีก 1-2 ปีข้างหน้านี้

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/64 นี้มองว่ามีแนวโน้มดี เนื่องจากปัจจุบันคนสนใจเทรนด์เรื่องธรรมชาติ และการดูแลสุขภาพมากขึ้น

Back to top button