STC พุ่งกระฉูด13% นิวไฮรอบ 16 เดือน ปักธงปีนี้รายได้โต 10% โชว์แบ็กล็อกเต็มมือ 670 ล้าน

STC พุ่งกระฉูด 13% นิวไฮรอบ 16 เดือน ปักธงปีนี้รายได้โต 10% โชว์แบ็กล็อกเต็มมือ 670 ล้าน


ผู้สื่อข่าวรายว่า วันนี้ (31 มี.ค. 2564) ราคาหุ้น บริษัท เอสทีซี คอนกรีตโปรดัคท์ จำกัด (มหาชน)  หรือ STC  ณ เวลา 15.58 น. อยู่ที่ระดับ 0.87 บาท บวกไป 0.10 บาท หรือขึ้นไป 12.99% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 51.00 ล้านบาท ซึ่งทำให้ราคาหุ้นวิ่งแรงในรอบ 16 เดือน โดยนับตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 0.87 บาท เมื่อวันที่ 29 พ.ย.2562

โดยก่อนหน้า นายเอกชัย ชัยตระกูล กรรมการ บริษัท เอสทีซี คอนกรีตโปรดัคท์ จำกัด (มหาชน)  หรือ STC เปิดเผยว่า นปี 2564 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 10% จากปี 2563 ที่มีรายได้ 420.8 ล้านบาท เนื่องจากในปัจจุบันมีงานที่รอรับรู้รายได้ (แบ็กล็อก) มูลค่ารวม 670 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ในปีนี้ ประมาณ 200-300 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยหนุนด้วยการเพิ่มเติมจากการขยายฐานลูกค้าไปยังพื้นที่ต่างๆ มากขึ้น จากเดิมที่มีฐานลูกค้าหลักในพื้นที่ภาคตะวันออกของประเทศ รวมทั้งจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มานำเสนอลูกค้าจากการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน ชื่อบริษัท เอสทีซี พรีเมียร์ พรีคาสท์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท

ทั้งนี้ในบริษัทร่วมทุนดังกล่าว ทาง STC ถือหุ้น 55% (คิดเป็นมูลค่าลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท) และบริษัท พรีเมียร์ พรีคาสต์ แอนด์ ดีไซน์ จำกัด ถือหุ้น 45% เพื่อดำเนินธุรกิจออกแบบ ผลิต ติดตั้ง และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปในระบบพรีคาสต์ ซึ่งจะทำให้ STC มีผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน / มีรายได้จากการขายคอนกรีตผสมเสร็จให้กับบริษัทร่วมทุน / มีรายได้จากการให้เช่าที่ดินว่างเปล่าในการก่อสร้างโรงงาน และมีรายได้เพิ่มขึ้น จากการขายผลิตภัณฑ์พรีคาสต์ โดยจะสามารถเปิดดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส 2/2564

นายเอกชัย กล่าวต่อว่า ประเมินว่าในปี 2564 ทาง STC จะมีรายได้จากบริษัทร่วมทุนดังกล่าวประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งรายได้ส่วนนี้ยังไม่ได้นับรวมเข้าไว้ในประมาณการรายได้ของ STC ที่คาดว่าจะเติบโต 10% ในปี 2564 โดยคอนกรีตสำเร็จรูปในระบบพรีคาสต์นั้น จะทำให้งานก่อสร้างดำเนินการได้เร็วกว่าแบบก่ออิฐฉาบปูน โดยงานด้านโครงสร้างจะเร็วขึ้นถึง 80% อีกทั้งมีความทนทาน แข็งแรงกว่าแบบก่ออิฐฉาบปูนด้วย เพราะงานพรีคาสต์ทุกชิ้น จะเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก สามารถทนแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้มากกว่าการก่อสร้างแบบผนังก่ออิฐฉาบปูนถึง 3 เท่า

อย่างไรก็ตามในปี 2564 สิ่งที่ STC มีความกังวลคือ เรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด หรือจะเกิดการระบาดเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ หลังจากเกิดการระบาดรอบสองช่วงเดือนธันวาคม 2563 และได้ส่งผลกระทบต่อตลาดอุตสาหกรรมก่อสร้าง ทำให้งานในตลาดลดลง เกิดการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น จนการทำอัตรากำไรขั้นต้นลดลงไปด้วย ซึ่ง STC ได้ประชุมวางแผนเพื่อรับมือในเรื่องดังกล่าวแล้ว โดยเบื้องต้นจะมุ่งเน้นการหารายได้เพิ่ม รุกตลาดออนไลน์ และตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) มากขึ้น พร้อมยืนยันว่าไม่มีนโยบายลดพนักงาน

ขณะที่การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ก็ยังคงเดินหน้างานตามแผนมิได้ชะลอ ซึ่งพื้นที่นี้เป็นพื้นที่ที่ STC มีความเชี่ยวชาญ จึงรับรู้ข่าวสารได้เร็วกว่า และเข้าถึงลูกค้าได้มากกว่ารายอื่น ส่วนการลงทุนของภาคเอกชนนั้น ยอมรับว่าหดตัวลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะด้านอสังหาริมทรัพย์และท่องเที่ยว แต่อยู่ในลักษณะชะลอการลงทุน จนกว่าสถานการณ์โควิด-19 จะดีขึ้น มิได้ยกเลิกแผนการลงทุน

Back to top button