“ฟิลลิป” แนะทยอยซื้อ 17 หุ้นเด่น เล็งอัพประมาณกำไร – ราคาเป้า

“ฟิลลิป” แนะทยอยซื้อ 17 หุ้นเด่น เล็งอัพประมาณกำไร – ราคาเป้า


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับหลักทรัพย์ที่น่าสนใจเข้าลงทุน โดยอ้างอิงจากนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา (1-31 มี.ค.64) โดยพบว่ามีหลักทรัพย์จำนวน 17 หลักทรัพย์ ที่ทางนักวิเคราะห์กำหนดคำแนะนำ “ทยอยซื้อ” ดังนี้

1.ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL โดยคาดว่า BBL จะมีกำไรปี 64 ที่ระดับ 34 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 96.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการตั้งสำรองที่ลดลง และได้รายได้จาก Permata มาช่วยเสริม ทำให้ปรับราคาพื้นฐานขึ้นเป็น 141 บาท จากแนวโน้มการเติบโต และประโยชน์ที่จะได้จากสินเชื่อรายใหญ่

2.บริษัท อะมานะฮ์ ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ AMANAH โดยคาดว่าสำรองที่มีอยู่อย่างเพียงพอจะทำให้ AMANAH สามารถลดระดับการตั้งสำรองลง และทำให้ประมาณการกำไรปี 64 – 65 ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 324 ล้านบาท และ 417 ล้านบาท ตามลำดับ ปรับเพิ่มประมาณการเงินปันผลปี 64 ขึ้นเป็น 0.14 บาท/หุ้น จากเดิมคาดไว้ที่ 0.13 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทนเงินปันผล 2.3%

ขณะที่ปี 65 ปรับเพิ่มเป็น 0.18 บาท/หุ้น จากเดิมที่ 0.15 บาท/หุ้น จากการปรับประมาณการกำไรขึ้น ส่งผลให้ BV ปรับขึ้นตามประมาณการกำไรที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ทางฝ่ายได้ปรับ ROE ระยะยาวขึ้นเป็น 19.50% ตามการเติบโตของกำไร และทำให้ P/BV ที่ใช้ประเมินราคาพื้นฐานปรับเพิ่มขึ้นเป็น 3.9 เท่า จากเดิม 1.9 เท่า ส่งผลให้ราคาพื้นฐานปรับเพิ่มขึ้นเป็น 6.50 บาท จากเดิม 3.12 บาท

3.บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT โดยมองว่าจากผลกระทบของราคาวัตถุดิบที่ปรับขึ้น และกำลังการผลิตใหม่ช้ากว่าแผนที่วางไว้ทำให้การดำเนินงานของ GFPT ฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่เคยคาด ซึ่งทำให้ลดทอนความน่าสนใจการลงทุนลงจากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตได้ อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นปรับลดสะท้อนปัจจัยดังกล่าวมาแล้ว และหากราคาวัตถุดิบหลักปรับลดลงจะทำให้การดำเนินงานช่วงที่เหลือของปีอาจดีกว่าที่คาดไว้ ณ ราคาปัจจุบัน

4.บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC โดยทางฝ่ายปรับเพิ่มประมาณการราว 11% สะท้อนยอดจองที่ดีในช่วงไตรมาส 1/64 และเพิ่มราคาพื้นฐานเป็น 3.40 บาทจาก 3.0 บาท โดยอิง P/E เฉลี่ยในอดีตที่ 7 เท่า ราคาล่าสุด P/E อยู่ที่ 6.7 เท่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตเล็กน้อย แต่ผลตอบแทนเงินปันผลปี 64 ยังสูงที่ 5.7%

5.บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE โดยฝ่ายวิจัยปรับใช้ราคาพื้นฐานที่ 31.50 บาท เนื่องจาก SAPPE อยู่ระหว่างออกเครื่องดื่มเทอร์ปีน ส่วนเครื่องดื่มใหม่ผสม CBD คาดอยู่ในช่วงไตรมาส 4/64 โดยร่วมกับบริษัทผู้ปลูกโดยตรงทำให้ต้นทุนถูกกว่าตลาด และอาจมี JV กับอีก 1 บริษัท

6.บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE โดยปรับคาดการณ์รายได้ปีนี้ขึ้นเป็น 4,515 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อน จากเดิมที่คาดโต 7% (เป้าบริษัทตั้งไว้โต 15-20%) ตามการขยายงานและแนวโน้มอุตสาหกรรมที่ยังดี และปรับกำไรขึ้นเป็น 231 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน อิง P/E ที่ 20 เท่า ราคาพื้นฐานปรับเป็น 7.10 บาท และคาดปันผลที่ 0.25 บาท

7.ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB เนื่องจาก KTB เป็นธนาคารที่มีปันผลเด่นมาตลอดแต่ด้วยข้อกำหนดของ ธปท. ทำให้ปันผลปี 63 ลดลงเหลือ 0.275 บาท/หุ้น คิดเป็นดิวิเดนยีลด์ 2.3% แต่ปี 64 ที่ทางฝ่ายคาดว่า KTB จะมีกำไร 29 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 74.4% เทียบกับปีก่อน และจะกลับมาจ่ายปันผลตามปกติที่ 0.75 บาท/หุ้น คิดเป็นดิวิเดนยีลด์ 6.3% จึงคงราคาพื้นฐาน 13 บาท

8.บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC โดยทางฝ่ายคาดการดำเนินงานปี 2564 จะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย โดยไตรมาส 1/64 คาดการดำเนินงานยังดีต่อทั้งจากปริมาณและราคาขายที่ดี อีกทั้งราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นทำให้จะมีกำไรจากสต็อกอีกทาง ส่วนดีลการซื้อ VNT เพิ่มนั้นจะเป็นส่วนเพิ่มต่อประมาณการในปีหน้าเป็นต้นไปหลังดีลแล้วเสร็จ โดยปรับราคาพื้นฐานเป็น 75 บาท

9.บริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด จำกัด (มหาชน) หรือ CPW โดยแม้ว่าทางฝ่ายจะปรับลดสมมติฐาน GPM ลงจากเดิม 15.0% เป็น 14.4% สะท้อนอัตราทำกำไรขั้นต้นของสินค้าแบรนด์ Apple ที่ต่ำกว่าสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ แต่คาดถูกหักล้างด้วยการปรับสมมติฐานยอดขาย CPW ปี 64 สอดรับกับมุมมองเชิงบวกของผู้บริหารต่อการเติบโตของผลดำเนินงานในปี 64 ทั้งนี้ ปรับราคาพื้นฐานปี 64 เพิ่มขึ้นจากเดิม 2.86 บาท เป็น 3.30 บาท (อิง P/E 25 เท่า) อย่างไรก็ดีเนื่องด้วยราคาหุ้นปัจจุบันที่ปรับตัวขึ้นมามาก คาดรับรู้ปัจจัยบวกบางส่วนแล้ว

10.บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA โดยทางฝ่ายชอบ HANA มากขึ้น เนื่องจากได้รับปัจจัยลบจากราคาวัตถุดิบเพิ่มและการขาดแคลนวัตถุดิบน้อยกว่าผู้ประกอบการในกลุ่มเดียวกัน อีกทั้งอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกทำให้บริษัทได้รับประโยชน์สูงสุด ขณะที่ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ทำให้ช่วยกระจายความเสี่ยงการดำเนินงานได้อีกทาง

11.บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL โดยจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ฟื้นตัวและแนวโน้มการดำเนินธุรกิจที่ดีขึ้น ทำให้ทางฝ่ายปรับประมาณการผลการดำเนินงานปี 2564 ขึ้นจากเดิม และปรับราคาพื้นฐานขึ้นเป็น 49 บาท สะท้อนการดำเนินงานที่กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง

12.บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ THANI โดยมองว่าภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และความต้องการรถบรรทุกเพื่อการขนส่งยังคงมีอยู่ จะทำให้กำไรของ THANI ในปีนี้เพิ่มขึ้น 7.7% จากปีก่อน เป็น 2 พันล้านบาท และคงราคาพื้นฐาน 4.40 บาท

13.บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC โดยมองว่าปัจจัยลบด้านคดีหายไป และ Margin ฟื้นตัว รวมถึง Backlog รองรับรายได้พร้อมกับความหวังการประมูลงานใหม่เริ่มเห็นในไตรมาส 2/64 น่าจะเป็นแรงหนุนต่อราคาหุ้นในระยะต่อไป  ทางฝ่ายปรับเพิ่มราคาพื้นฐานขึ้นจากเดิม 8% เป็น 14.20 บาท โดยปรับเพิ่ม Margin ขึ้น และปรับ P/B เหมาะสมเป็น 1.4 เท่า จากเดิม 1.3 เท่า ณ ราคาล่าสุด

14.บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL โดยการดำเนินงานค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้นตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และคาดจะพลิกกลับมากำไรตั้งแต่ปี 65 เป็นต้นไป ทางฝ่ายปรับใช้ราคาพื้นฐานปี 65 ที่ 34 บาท โดยยังไม่รวมทำ M&A ซึ่งคาดได้ข้อสรุปก่อนจำนวน 1 ดีลภายในไตรมาส 1/64 นี้

15.บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA โดยทางฝ่ายยังคงคาดค่าระวางเรือปี 2564 เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อน แต่ด้วยค่าระวางเรือในปี 2563 ที่ดีกว่าคาด ทำให้ปีนี้คาดค่าระวางที่ 11,900 ดอลลาร์/วัน/ลำ และต้นทุนเดินเรือคาดปรับขึ้น 5% เป็น 8,060 ดอลลาร์ รวมถึงปรับคาดการณ์ MML มีผลประกอบการดีขึ้นทั้งจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น และไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษ คาดรายได้ปี 2564 ที่ 15,687 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน และปรับกำไรสุทธิขึ้นจาก 538 ล้านบาท เป็น 885 ล้านบาท และปรับการอิง P/B ด้านบนที่ 0.84 เท่าของมูลค่าบัญชีในปี 2564 ที่ 11.07 บาท เพื่อสะท้อนการกลับมาเติบโตได้อย่างแข็งแรง ด้านราคาพื้นฐานปรับเป็น 9.30 บาท

16.บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI โดยแม้ว่าส่งออกชะลอตัวแต่ได้อานิสงส์จากขยายตลาด TT มากขึ้น, ออกรสชาติและเครื่องดื่มใหม่เทอร์ปีน, รับรู้รายได้ OEM และส่วนแบ่งกำไร บ.ร่วม เพิ่มขึ้น พร้อมปรับสมมติฐานยอดขายเพิ่มขึ้น 21.1% จากปีก่อน และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 39.7% จากปีก่อน

17.บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JUBILE โดยทางฝ่ายประเมินราคาพื้นฐานปี 64 ที่ 26.50 บาท (อิง P/E 16 เท่า) ปัจจุบันราคาหุ้นยังมี Upside และมีเงินปันผลรองรับ 0.44 บาท/หุ้น (XD 10 พ.ค., จ่าย 21 พ.ค. 63)

Back to top button