SINGER คาดผลประกอบการ Q1/59 ดีกว่าปีก่อน ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 10-15%

SINGER คาดผลประกอบการ Q1/59 ดีกว่าปีก่อน ตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 10-15% ตั้งงบลงทุนในปีนี้ไว้ 140 ล้านบาทเพื่อใช้ขยายสาขารูปแบบใหม่


นายบุญยง ตันสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/59 ทั้งในแง่รายได้และกำไรสุทธิ จะมากกว่าไตรมาส 1/58 และไตรมาส 4/58 ตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น และการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะที่บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 10-15% จาก 3.39 พันล้านบาทในปีก่อน หลังรุกออกสินค้าใหม่เป็นหลัก ขณะที่สินค้าที่เป็นแบรนด์ SINGER อาจเติบโตเล็กน้อยหรือมียอดขายใกล้เคียงกับปีก่อน ขณะที่คาดว่าอัตรากำไรสุทธิปีนี้จะเพิ่มขึ้นมาที่ 6.5% จาก 4.22% ในปีก่อน หลังสามารถควบคุมเรื่องต้นทุน และค่าใช้จ่ายในการบริหารได้ดีขึ้น โดยในช่วงต้นปีได้ปิดสาขาที่ไม่สร้างผลกำไรไปแล้ว 20 สาขา และในปีที่ผ่านมาก็ได้ยึดคืนสินค้าจากผู้ที่ไม่สามารถผ่อนชำระได้ตามกำหนด ทำให้ปีนี้จะไม่มีขาดทุนจากส่วนนี้เพิ่มเติมแล้ว

“ปีนี้รายได้เราคงเป็นการเติบโตมาจากการขายสินค้าใหม่ๆเป็นหลัก โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทได้เริ่มทดลองขายมือถือ แบรนด์ Samsung ซึ่งมียอดขายถึง 50 ล้านบาท ซึ่งทำให้เราเห็นแนวทางใหม่ในการเพิ่มยอดขาย บริษัทจึงนำ Multi Brand มาขายเพิ่มเติมจากก่อนหน้านี้บริษัทขายแค่แบรนด์ SINGER เท่านั้น”นายบุญยง กล่าว

ทั้งนี้บริษัทได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่คือตู้เติมเงินที่สามารถชำระบิลได้ และมีราคาถูกลงถึง 50% ขณะเดียวกันยังมีค่าโฆษณา 3G,4G ผ่านตู้เติมเงิน ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE เพิ่มเติมด้วย นอกจากนี้ ช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้ร่วมมือกับ บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์ เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KOOL จำหน่ายพัดลมไอน้ำด้วย โดยเชื่อว่าในช่วงหน้าร้อนนี้จะได้รับการรับการตอบรับที่ดี

โดยบริษัทตั้งงบลงทุนในปีนี้ไว้  140 ล้านบาทเพื่อใช้ขยายสาขารูปแบบใหม่ภายใต้ชื่อ SG Power 15 สาขา มูลค่าการลงทุนราว 20 ล้านบาท และอีก 20 ล้านบาท ใช้ในการปรังปรุงสาขาเดิม ในส่วนที่เหลือใช้เป็นงบการตลาดรองรับสินค้าใหม่ที่คาดว่าจะเติบโต โดยเฉพาะสินค้าแบรนด์ต่างๆ เช่น  Masterkool, LG,  Samsung, LION, Powercool และ SHARP

ส่วนแนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในปีนี้ บริษัทจะรักษาให้อยู่ในระดับที่ไม่เกิน 6.5% ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 6.11% โดยปีนี้ได้ปรับเงินดาวน์เพิ่มขึ้นเป็น 10% จากปกติที่ระดับ 5% เพื่อที่จะให้มียอดยึดสินค้าคืนลดลง และเข้าช่วยเหลือลูกค้าในการยืดระยะเวลาการผ่อนชำระมากขึ้น เพื่อป้องกันป้องกันความเสี่ยงเนื่องจากมองภาวะเศรษฐกิจยังคงชะลอตัว

“ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังมองยาก เพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมองไม่เห็น บริษัทก็ต้องมีการป้องกันความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยการเพิ่มมูลค่าเงินดาวน์เป็น 10% จากปกติอยู่ที่ 5% เพื่อที่จะลดปริมาณการทิ้งเงินดาวน์อย่างที่ในช่วงไตรมาส 4/58 ที่ผ่านมาบริษัทเคยโดนมาแล้ว ซึ่งมีอัตราการยึดคืนสินค้าสูงขึ้นมาถึง 10% จากปกติอยู่ที่ 5-6%”นายบุญยง กล่าว

 

Back to top button