6 โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” PTG มั่นใจครึ่งปีหลังสดใส “น้ำมัน-นอนออยล์” โตแกร่ง

6 โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” PTG ชี้ครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก “น้ำมัน-Non-oil” ปรับตัวดีขึ้น รับเศรษฐกิจฟื้นหลังฉีดวัคซีนมากขึ้น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรดาโบรกเกอร์ต่างเชียร์ “ซื้อ” หุ้นบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ซึ่งมองแนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งหลังปี 2564 ดีกว่าครึ่งแรกปี 2564 หลังทยอยฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้มากขึ้น เป็นผลจากเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว ส่งผลดีต่อความต้องการใช้น้ำมันให้ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงธุรกิจ Non-oil ก็จะปรับตัวดีขึ้น สอดคล้องไปกับธุรกิจหลักไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟพันธุ์ไทย, คอฟฟี่ เวิลด์, ร้านสะดวกซื้อ Max Mart ที่ต่างได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ขณะที่คาดส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม (โครงการ Palm Complex) ก็คาดว่าจะมีอัตรากำไรที่ดีขึ้นในครึ่งปีหลังนี้ ตามความต้องการใช้น้ำมันไบโอดีเซล

สำหรับผลประเมินการของแต่ละบริษัทหลักทรัพย์ที่มีต่อหุ้น PTG มีดังต่อไปนี้

โดย นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชีย เวลท์ กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง จะดีกว่าครึ่งปีแรก หลังจากได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2/2564 ซึ่งจะเห็นได้ว่าในเดือนมิถุนายนนี้ เนื่องจากการทำงานที่บ้านลดลง และการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ก็มีมากขึ้น ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นในระยะถัดไป

ทั้งนี้ แนวโน้มผลประกอบการ ไตรมาส 2/2564 ยังถูกกดดันจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศที่ยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลงทั้งภาคขนส่ง และภาคท่องเที่ยว โดยคาดการณ์ว่าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันจะทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่ภาพรวมทั้งปียังประเมินไว้ว่าจะเติบโตราว 9-10%

ด้านธุรกิจ Non-oil แบ่งเป็น ร้านกาแฟพันธุ์ไทยจะยังเติบโตได้ จากการออกสินค้าใหม่ และมุ่งเน้นการทำตลาดที่มากขึ้น ส่วนคอฟฟี่ เวิลด์ คาดการณ์ว่ารายได้จะยังคงลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากสาขาที่ให้บริการส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในสนามบินและห้างสรรพสินค้าที่ยังได้รับผลกระทบจากโควิด-19

โดยธุรกิจผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซล (B100) คาดการณ์ว่าอัตรากำไรในไตรมาส 2/2564 จะปรับตัวดีขึ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า หลังราคาปาล์มเดือน เมษายน-พฤษภาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 5-6 บาทต่อกิโลกรัม แม้ว่าจะเป็นช่วงที่มีผลปาล์มออกสู่ตลาดจำนวนมาก จากไตรมาส 1/2564 บริษัทได้รับส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Palm Complex ที่ 77.7 ล้านบาท ลดลง 54.4% จากปีก่อน และลดลง 51.2% จากไตรมาสแรก เนื่องจากราคาปาล์มปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 6-7 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ต้นทุนของปาล์มสูงขึ้น อัตรากำไรจึงลดลง

อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Palm Complex จะกลับมาสนับสนุนกำไรให้เติบโตในช่วงครึ่งปีหลังนี้ จากความต้องการใช้น้ำมันไบโอดีเซล ภายหลังการแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลายและมีการฉีดวัคซีนอย่างแพร่หลาย โดยยังคาดการณ์ว่าปี 2564 ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมจะอยู่ที่ 311 ล้านบาท รวมถึงอาจเห็นบริษัทจำหน่ายน้ำมันปาล์มเพื่อบริโภคในช่วงไตรมาส 3/2564

“ธุรกิจน้ำมันคาดจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย, ธุรกิจ Non-oil อย่าง ร้านกาแฟพันธุ์ไทย เริ่มกลับมาเติบโต และธุรกิจ LPG ภาคครัวเรือน ที่ยังมีโอกาสเติบโตได้สูง และธุรกิจใหม่ อย่างบริการ EV Charging ที่มี 5 สถานีบริการ โดยที่ผ่านมามีรถยนต์เข้าใช้บริการแล้วกว่า 500 คัน จึงคาดว่าจะเริ่มเห็นกำไรใน อนาคต ส่วนธุรกิจโรงไฟฟ้าขยะ อยู่ระหว่างรอทางภาครัฐประกาศรับซื้อไฟฟ้า โดยบริษัทเตรียมแผนสำหรับการก่อสร้างไว้แล้ว ภาพรวมมองว่ากำไรทั้งปียังสามารถเติบโตได้” นายเบญจพล กล่าว

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า PTG จะได้ผลบวกจากการปูพรมฉีดวัคซีนในไทย และส่งผลให้กิจกรรมการเดินทางและการดำเนินธุรกิจกลับมาเริ่มต้นอีกครั้งในฐานะผู้มีส่วนแบ่งตลาดน้ำมันอันดับ 2 ในไทย คาดการณ์ว่าจะได้อานิสงส์จากปัจจัยดังกล่าว ส่วนธุกิจ non-oil ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่เข้ามาช่วยเสริมการเติบโต

สำหรับธุรกิจใหม่ๆ เช่น ร่วมกับกฟผ. เพื่อติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าเพื่อให้บริการรถยนต์ไฟฟ้า (EV car) ในสถานีบริการของบริษัท ปัจจุบันมีอยู่ 5 แห่ง และมีแผนจะเปิดให้บริการครอบคลุม 13 จังหวัดทั่วประเทศ, เปิดตัวอาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชา โดยมีเปิด 6 สาขาในร้านกาแฟพันธุ์ไทย และ 4 สาขาในร้านคอฟฟี่เวิลด์ และอาจจะต่อยอดในส่วนธุรกิจกัญชาให้ครบวงจรหลังมีความชัดเจนด้านกฎระเบียบต่างๆ มองว่าจะเข้ามาช่วยต่อยอดจากธุรกิจเดิม แต่ในช่วงแรกอาจยังไม่มีนัยต่อประมาณการ

พร้อมคาดยอดขายปีนี้จะอยู่ที่ 130,590 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อน จากปรับสมมติฐานราคาขายน้ำมันเฉลี่ยเพิ่มขึ้น แต่ได้ปรับลด margin ลง จากต้นทุนน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รวมถึงรับรู้กำไรจากบริษัทร่วมลดลง จึงได้ปรับกำไรสุทธิลงเหลือ 2,034 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน แนะนำ ซื้อ ราคาเป้า 24.30 บาท

ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ คาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานน่าจะเห็นการฟื้นตัวได้ในไตรมาส 3/2564 จากสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่ปรับตัวดีขึ้น หลังการกระจายวัคซีน และสามารถกลับมาเดินทาง จัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ตามปกติ

โดยแนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2564 คาดการณ์ว่ายังอ่อนตัวจากไตรมาสแรก และทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นไปตามปริมาณขายน้ำมันที่คาดลดลงจากไตรมาสแรก แต่ยังเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยไตรมาส 2/2563 มี่ปริมาณขายน้ำมันอยู่ที่ 1,205 ล้านลิตร และคาดค่าการตลาดน้ำมันปัจจุบันอยู่ที่ 1.80-1.90 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่า 2 บาทต่อลิตรในไตรมาส 2/2563 แนะนำ ซื้อ ราคาเป้า 24.50 บาท

Back to top button