“ดาวโจนส์” ทุบสถิติ “ออลไทม์ไฮ” ปิดเหนือ 35,000 จุด รับบจ.โชว์งบโตแกร่ง

“ดาวโจนส์” บวกต่อเนื่อง 4 วันติด! วิ่งอีกกว่า 200 จุด ทะลุ 35,000 จุด ขานรับบจ.โชว์งบโตแกร่ง –แรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหนุน


ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้ (23 ก.ค.) และปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐ รวมถึงสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจซึ่งได้กระตุ้นให้นักลงทุนพากันเข้าซื้อหุ้นในตลาด

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,061.55 จุด เพิ่มขึ้น 238.20 จุด หรือ +0.68%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,411.79 จุด เพิ่มขึ้น 44.31 จุด หรือ +1.01% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,836.99 จุด เพิ่มขึ้น 152.39 จุด หรือ +1.04%

ทั้งนี้ข้อมูลจาก FactSet บ่งชี้ว่า ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ บวก 1.1%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 2% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 2.8%

ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดยืนเหนือระดับ 35,000 จุดได้เป็นครั้งแรกเมื่อคืนนี้ โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และการรายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐ

สำหรับหุ้น 10 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดบวก ยกเว้นหุ้นกลุ่มพลังงานซึ่งลดลง 0.64% ขณะที่หุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารปรับตัวขึ้นมากที่สุด 2.7%

โดยบริษัท 120 แห่งในดัชนี S&P500 รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาแล้ว โดย 88% รายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาด ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า ผลประกอบการรวมในไตรมาส 2 ของบริษัทในดัชนี S&P500 จะขยายตัว 78.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากระดับ 54% ที่คาดไว้ในช่วงต้นไตรมาส

หุ้นโมเดอร์นา พุ่งขึ้น 7.8% หลังสหภาพยุโรป (EU) อนุมัติใช้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของโมเดอร์นากับเด็กอายุ 12-17 ปี

หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส บวก 1.3% หลังเปิดเผยผลกำไรไตรมาส 2 สูงเกินคาด เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคฟื้นตัวขึ้นทั่วโลก

หุ้นกลุ่มโซเชียลมีเดีย อาทิ ทวิตเตอร์ และ สแนป พุ่งขึ้น 3.0% และ 23.8% ตามลำดับ หลังเปิดเผยผลประกอบการที่สดใส

หุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 5.3% ก่อนการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ในสัปดาห์หน้า

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐที่เปิดเผยเมื่อคืนนี้ได้แก่ ไอเอชเอส มาร์กิตซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงินเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 59.7 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน จากระดับ 63.7 ในเดือนมิ.ย.

อย่างไรก็ดี ดัชนี PMI ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะขยายตัว โดยได้ปัจจัยบวกจากความแข็งแกร่งของภาคการผลิต จากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน แม้ว่าความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ทั้งนี้ ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนก.ค.อยู่ที่ 63.1 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากระดับ 62.1 ในเดือนมิ.ย. และดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นเดือนก.ค.อยู่ที่ 59.8 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน จากระดับ 64.6 ในเดือนมิ.ย.

โดยบรรดานักลงทุนจะจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีในสัปดาห์หน้าซึ่งได้แก่เฟซบุ๊ก, แอปเปิล, แอมะซอน, อัลฟาเบท และไมโครซอฟท์ รวมทั้งการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 27-28 ก.ค.นี้

Back to top button