MK โกยรายได้ Q2 กว่า 534 ลบ. กางแผนครึ่งปีหลังขยายธุรกิจโรงงาน – คลังสินค้าต่อเนื่อง

MK โชว์รายได้รวมไตรมาส 2/64 ที่ 535.78 ล้านบาท กางแผนครึ่งปีหลัง ขยายธุรกิจโรงงาน/คลังสินค้าเพิ่มอีก 2 แห่ง รองรับลูกค้า ผู้ประกอบการ ที่ต้องการใช้บริการในฝั่งตะวันออกและฝั่งภาคกลางตอนล่างเพิ่ม


นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย เพื่อเช่าและเพื่อการบริการ เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2564 (สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564) ว่า ครึ่งปีแรกบริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,107.32 ล้านบาท โดยในไตรมาส 2/ 2564 สามารถทำรายได้ 535.78 ล้านบาท ลดลง 36.7% เป็นผลจากบริษัทลูก บจ.พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ ได้ขายทรัพย์สินกว่า 130,000 ตารางเมตร เข้ากอง REIT และธุรกิจให้บริการด้านสุขภาพโครงการ รักษ (รัก-ษะ) ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการความคุมการแพร่ระบาดโควิด19 ของภาครัฐ  ซึ่งยังอยู่ในช่วงปิดประเทศ ทำให้ไม่สามารถรับลูกค้าจากต่างประเทศได้

อย่างไรก็ตามทาง รักษ ได้ปรับตัวเพื่อทำแพ็คเกจรองรับการให้บริการคนในประเทศมากยิ่งขึ้น โดยเร่งการทำประชาสัมพันธ์และยังทำการตลาดร่วมกับคู่ค้าที่สำคัญ อาทิ กลุ่มโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และกลุ่มลูกค้าจากเครือไมเนอร์ กรุ๊ป เพื่อให้เกิดการรับรู้และดึงลูกค้าในประเทศเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง

สำหรับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสที่ 2 มีรายได้รวม 400.27 ล้านบาท ลดลง 10% เมื่อเทียบกับ ไตรมาสแรก เนื่องจากความไม่แน่นอนของเศษฐกิจภาพรวม กระทบต่อการตัดสินใจของลูกค้า ประกอบกับหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อน ทำให้ศักยภาพในการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยลดลง

อีกทั้งสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น โดยมีอัตราการปฎิเสธสินเชื่อสูงถึง 50% อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้มีการปรับแผนรับมือสถานการณ์ที่เกิดอย่างต่อเนื่อง เน้นกลยุทธ์การตลาดโดยการนำเอาดิจิทัลแพลตฟอร์มออนไลน์มาใช้ สร้างการรับรู้ผ่านบุคคลที่มีชื่อเสียง (Influencer) เพื่อนำเสนอสินค้าให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นใจในมาตรการเข้าเยี่ยมชมโครงการอย่างปลอดภัย ตลอดจนการจัดแคมเปญโปรโมชั่นเพื่อช่วยลดภาระของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

ด้านกลยุทธ์การขายมีการนำเทคโนโลยีภาพเสมือนจริง 360 Virtual Tour และ Photo Gallery เพื่อให้ลูกค้าสามารถเยี่ยมชมโครงการได้อย่างสะดวกผ่านช่องทางออนไลน์ รวมไปถึง Private Home Tour ให้ลูกค้าเยี่ยมชมโครงการ พร้อมสอบถามข้อมูลกับพนักงานแบบ Real – Time ส่งผลให้มีลูกค้าเข้าเยี่ยมชมโครงการมาจากช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น 20%

นอกจากนี้ยังอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าสามารถจองที่อยู่อาศัยผ่านช่องทาง line official พร้อมมีทีม Munkong Financial Team คอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด และอำนวยความสะดวกในเรื่องสินเชื่อให้กับลูกค้าผ่าน line official เพื่อต่อยอดการสร้างโอกาสในการขายอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญในการบริหารสินค้าคงเหลือและสภาพคล่องให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ด้านธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการทำรายได้  83.04 ล้านบาท ลดลง 26% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนทั้งนี้เหตุผลสำคัญเพราะรายได้จากการให้เช่าและบริการพื้นที่ใน “โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน โดย บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด” ลดลงเนื่องจากช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ของปีก่อน ทาง “พรอสเพคฯ” ได้ขายทรัพย์สินประมาณ 45% ของโครงการทั้งหมดเข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ พรอสเพค โลจิสติกส์และอินดัสเทรียล (“กองทรัสต์”) และหากเปรียบเทียบรายได้ภายหลัง การขายทรัพย์สินบางส่วน ไตรมาสนี้มีรายได้จำนวน 65.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 28.4% จากไตรมาสที่ 4 ของปีก่อน เป็นผลจากการพัฒนาพื้นที่ในโครงการที่เหลืออยู่ และสามารถเริ่มเปิดให้เช่าพื้นที่เพิ่มเติมโดยมีอัตราการเช่า (Occupancy rate) ณ สิ้นไตรมาสสูงถึง 90%

ส่วนธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์มีการเติบโตขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยมียอดรับรู้รายได้สำหรับไตรมาสนี้จำนวน 25.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงกว่า 200% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากการบริหารทรัพย์สินในกองทรัสต์ ของ บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด และรายได้จากการจัดการกองทุนทรัสต์ของ บริษัท พรอสเพค รีท แมเนจเมนท์ จำกัด เป็นผลให้กำไรขั้นต้นของธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น 12.69  ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 61%

สำหรับแผนการดำเนินงานต่อไปสำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง สำหรับธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการ โดย บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ได้จัดตั้งบริษัทร่วมลงทุนอีก 2 บริษัท โดยบริษัทแรกจะดำเนินงานเพื่อพัฒนาโครงการที่บางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา และบริษัทร่วมลงทุนแห่งที่ 2 จะดำเนินการพัฒนาโครงการที่ วังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งบริษัทร่วมทุนทั้ง 2 บริษัทนี้จะเริ่มพัฒนาโครงการตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ซึ่งจะทำให้รายได้จากการให้เช่าและบริการมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามแผนธุรกิจที่วางไว้ สำหรับธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีการเปิดตัวโครงการอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้

“จากผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 แม้ว่ามั่นคงฯ มีรายได้ลดลง แต่ด้วยการบริหารความเสี่ยงและการบริหารต้นทุนยังคงสามารถทำได้ดีกว่าปีทีผ่านมา โดยสามารถบริหารต้นทุนได้ลดลงถึง 242.41 ล้านบาท หรือลดลง 26.52% นอกจากนี้ยังมีการลงทุนในธุรกิจตามแผนการปรับโครงการสร้างรายได้ กระจายความเสี่ยง และที่สำคัญบริษัทฯ ยังคงเน้นการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนทางเศรษฐกิจมากกว่าการลดภาระหนี้สิน อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลังมองว่า วัคซีน คือ Game Changer ถือเป็นความหวังที่จะเข้ามาช่วยทำให้สถานการณ์ต่างๆ เริ่มคลี่คลายและส่งผลดีต่อเศรษฐกิจภาพรวม” นายวรสิทธิ์ กล่าว

Back to top button