เปิดโผ 4 หุ้น อัพไซด์สูง 20% “ฟินันเซีย” การันตีกำไรปี 64 สดใส!

คัดสรร 4 หุ้นอัพไซด์ทะลุ 20% ชูหุ้นเด่นบทวิเคราะห์ “ฟินันเซีย”  แนะนำ “ซื้อ” SMT มีอัพไซด์ 29.03%, SYNEX มีอัพไซด์ 32%, ORI มีอัพไซด์ 25% และ CK มีอัพไซด์ 24.37% พร้อมการันตีกำไรปี 64 สดใส!


สถานการณ์ความเคลื่อนไหวของดัชนี SET Index ยังมีความผันผวนในสัปดาห์หน้าเนื่องจากไร้ปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุน พร้อมกับใกล้การประชุมธนาคารกลางสหรัฐในวันที่ 21 – 22 ก.ย. 2564 อาจจะเห็นเม็ดเงินต่างประเทศ (Fund Flow) ชะลอ ซึ่งทำให้หุ้นขนาดใหญ่อาจไม่ไปไหนเท่าไรนัก ส่วนหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่ไม่ได้พึ่งพิง Fund Flow คาดว่าไม่รับผลกระทบ และยังเห็นแรงเก็งกำไรปรับตัวเป็นบวกได้เป็นรายตัวไปตามปัจจัยบวกเฉพาะ

อย่างไรก็ดีหากเฟดเปิดเผยแผนปรับลดวงเงิน QE ลักษณะทยอยลดลงประมาณ 1 – 1.50 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ภาพก็จะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นได้อยู่ เพราะใช้เวลาอีกมากกว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ดังนั้น Fund Flow ก็อาจกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นใหญ่อีกครั้ง

ส่วนกระแสเรื่องในประเทศให้ติดตามประเด็นความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่แต่ละหน่วยงานยังมีความเห็นไม่ตรงกัน โดยกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาต้องการเปิดกรุงเทพ 15 ต.ค.นี้ แต่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ยังไม่เห็นด้วย

ทั้งนี้ด้วยสถานการณ์การลงทุนยังคงต้องจับตาทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เป็นตัวกดดันตลาดในระยะสั้นอยู่ ด้วยเหตุนี้ทาง “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงได้รวบรวมข้อมูลบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ทาง บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ประเมินไว้ในบทวิเคราะห์เมื่อช่วงวันที่ 13 ก.ย. – 17 ก.ย.2564 โดยคัดเฉพาะหุ้นที่มีอัพไซด์เกิน 20% จากราคาเป้าหมายที่ให้ไว้ เทียบจากราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 17 ก.ย. 2564

ผลสำรวจพบว่ามี 4 หลักทรัพย์ ได้แก่ SMT, SYNEX, ORI และ CK

สำหรับบริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SMT เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2564 ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 6.20 บาท หากเทียบกับราคาเป้าหมาย 8 บาท ที่ทางบล. ฟินันเซีย ไซรัสให้ไว้ พบว่ายังคงมีอัพไซด์ 29.03% ซึ่งยังคงแนะนำ “ซื้อ”

นอกเหนือจากบริษัทยังมีอัพไซด์ที่สูงแล้ว ทางฝ่ายวิจัยยังคงประเมิน SMT ว่ามีแนวโน้มกำไรไตรมาส 3 ปี 2564 ยังดูดีต่อเนื่องคาดโต 3% จากไตรมาสก่อนหน้า และโต 40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ในช่วงเดือนก.ค. ที่ผ่านมา จะมีปัญหาแรงงานติดเชื้อของโรงงานหลายแห่งในอยุธยา แต่ SMTเจอเพียงเล็กน้อยและสามารถควบคุมได้ทันที และไม่มีการหยุดสายการผลิต

ขณะที่ปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบเริ่มคลี่คลายจึงยังส่งมอบสินค้าได้ตามแผนคาดกำไรไตรมาส 4 ปี 2564 เป็นจุดสูงสุดของปีนี้อีกด้วย และได้ประโยชน์จากบาทอ่อน ทั้งนี้คาดกำไรปี 2564 โต 175% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และประเมินไปถึงปี 2565 โต 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ด้านบริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2564 ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 25.00 บาท หากเทียบกับราคาเป้าหมาย 33.00 บาท ที่ทางบล. ฟินันเซีย ไซรัสให้ไว้ พบว่ายังคงมีอัพไซด์ 32% ซึ่งยังคงแนะนำ “ซื้อ”

นอกเหนือจากบริษัทยังมีอัพไซด์ที่สูงแล้ว ทางฝ่ายวิจัยยังคงประเมิน SYNEX คาดได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากการเปิดตัวสินค้าใหม่ของ Apple ใน Event ที่ผ่านมา และคาดเริ่มวางขายในไทยภายในเดือน ต.ค.นี้ ทำให้โมเมนตัมกำไรเป็นขาขึ้นในไตรมาส 4 ปี 2564 จนถึงไตรมาส 1 ปี 2565 จากช่วง High Season

อีกทั้ง SYNEX จะเน้นกลยุทธ์เพิ่มสินค้า House Brand เพื่อเพิ่ม Margin รวมถึงระยะยาวเตรียมรุกตลาด IT สินค้ามือสองผ่าน JV SWOPMART ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยคาดกำไรปี 2564 เพิ่มขึ้น 22% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 2564 เพิ่มขึ้น 29% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

ขณะเดียวกันบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2564 ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 10.80 บาท หากเทียบกับราคาเป้าหมาย 13.80 บาท ที่ทางบล. ฟินันเซีย ไซรัสให้ไว้ พบว่ายังคงมีอัพไซด์ 27.78% ซึ่งยังคงแนะนำ “ซื้อ”

อย่างไรก็ดีนอกจากบริษัทยังมีอัพไซด์ที่สูงแล้ว ทางฝ่ายวิจัยยังคงประเมินว่า ORI  มีโมเมนตัมกำไรครึ่งหลังของปี 2564  ซึ่งคาดเร่งขึ้นทั้งจากช่วงครึ่งปีแรก และจากงวดเดียวกันของครึ่งหลังปี 2563 โดยจากโครงการใหม่สร้างเสร็จอีก 2 โครงการ แม้การปิดแคมป์จะกระทบบ้าง แต่คาดเริ่มโอนได้ในเดือน ก.ย.นี้ โดย ORI มีสต๊อกคอนโดพร้อมโอนกว่า 1 หมื่นล้านบาท อีกทั้งการจับมือกับ JWD คลังสินค้าจะเป็นบวกระยะยาวจากรายได้ประจำที่จะมากขึ้น และคาดเห็นการร่วมมือกับบริษัทอื่นๆอีกในอนาคต ส่วนระยะสั้นมี Catalyst จากการ Spin-Off บริทาเนียและให้สิทธิผู้ถือหุ้น ORI จองซื้อ

ส่วนบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2564 ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 20.10 บาท หากเทียบกับราคาเป้าหมาย 25.00 บาท ที่ทางบล. ฟินันเซีย ไซรัสให้ไว้ พบว่ายังคงมีอัพไซด์ 24.38% ซึ่งยังคงแนะนำ “ซื้อ”

นอกเหนือจากบริษัทยังมีอัพไซด์ที่สูงแล้ว ทางฝ่ายวิจัยยังคงประเมินว่า CK ยังคงได้แรงหนุนจากเงินลงทุนในบริษัทลูกทั้ง CKP ที่คาดงบไตรมาส 3 ปี 2564 มีการทำ New High บวกกับ BEM ที่ฟื้นตัวหลังคลาย Lockdown ต้นเดือนก.ย.นี้

อีกทั้งมี Catalyst ระยะสั้นหนุนจากการขายซองสายสีม่วงใต้และสายสีส้ม ซึ่ง CK เป็นตัวเต็ง รวมถึงเซ็นรถไฟทางคู่เด่นชัยในเดือน ต.ค. – พ.ย.นี้ คาดหนุนให้ Backlog เร่งขึ้นจากปัจจุบัน 2.80 หมื่นล้านบาท แตะระดับมากกว่าแสนล้านบาทในต้นปีหน้า

*อนึ่งข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

 

Back to top button