“อินเดีย-อังกฤษ” ระบายสต๊อกน้ำมันรวม 6.5 ล้านบาร์เรล ตามรอย “สหรัฐ” สกัดน้ำมันแพง

"อินเดีย" ประกาศระบายน้ำมันจากคลังสำรองออกสู่ตลาด 5 ล้านบาร์เรล ส่วน “อังกฤษ” ปล่อยน้ำมันสำรอง 1.5 ล้านบาร์เรล ตามรอย “สหรัฐ” ที่จะระบายน้ำมัน 50 ล้านบาร์เรล โดยถือเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อสกัดการปรับตัวขึ้นสูงของราคาน้ำมันในตลาดโลก


รัฐบาลอังกฤษแถลงในวันนี้ว่า อังกฤษจะระบายน้ำมันจำนวน 1.5 ล้านบาร์เรลออกสู่ตลาด ในความร่วมมือกับสหรัฐและชาติพันธมิตรเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันในตลาด

อย่างไรก็ดี น้ำมันจำนวน 1.5 ล้านบาร์เรลดังกล่าวจะเป็นน้ำมันจากสต็อกของภาคเอกชน และการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นไปอย่างสมัครใจ และไม่ส่งผลกระทบต่อน้ำมันในคลังสำรองของรัฐบาลแต่อย่างใด ขณะที่สำนักงานพลังงานสากล (IEA) กำหนดให้รัฐบาลจะต้องมีน้ำมันในคลังสำรองเพียงพอสำหรับการบริโภคในประเทศเป็นเวลา 90 วัน

ทางด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดนประกาศในวันนี้ว่า สหรัฐจะระบายน้ำมันดิบจำนวน 50 ล้านบาร์เรลออกจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันในตลาด ขณะที่รัฐบาลอินเดียประกาศระบายน้ำมันดิบจำนวน 5 ล้านบาร์เรล

ทั้งนี้ สหรัฐจะระบายน้ำมันดิบร่วมกับอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย ซึ่งถือเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นครั้งแรกในการดำเนินมาตรการดังกล่าว

กระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่า ขณะนี้ SPR มีน้ำมันดิบรวม 604.5 ล้านบาร์เรล และน้ำมันดิบที่ถูกระบายออกมาจะเข้าสู่ตลาดภายในเวลา 13 วัน หลังจากที่ประธานาธิบดีมีคำสั่งดังกล่าว

ซิตี้กรุ๊ปคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า สหรัฐและชาติพันธมิตรอาจระบายน้ำมันรวม 100-120 ล้านบาร์เรลออกสู่ตลาด โดยสหรัฐจะระบายน้ำมัน 45-60 ล้านบาร์เรล, จีน 30 ล้านบาร์เรล, อินเดีย 5 ล้านบาร์เรล, ญี่ปุ่น 10 ล้านบาร์เรล และเกาหลีใต้ 10 ล้านบาร์เรล

อย่างไรก็ดี คาดว่ามาตรการระบายน้ำมันจากคลังสำรองจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดเพียง 2-3 สัปดาห์

ทั้งนี้ สหรัฐพยายามโน้มน้าวให้ประเทศต่างๆ ทำการระบายน้ำมันจากคลังสำรอง หลังจากที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ปฏิเสธข้อเรียกร้องของสหรัฐที่ต้องการให้มีการเพิ่มการผลิตน้ำมันมากกว่า 400,000 บาร์เรล/วัน

ขณะที่รัฐบาลอินเดียออกแถลงการณ์ระบุว่า อินเดียจะระบายน้ำมันดิบจำนวน 5 ล้านบาร์เรลออกจากคลังสำรอง ในความร่วมมือกับสหรัฐและชาติพันธมิตรเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันในตลาด

Back to top button