NRF ลุยธุรกิจ “อีคอมเมิร์ซ-อาหารโปรตีนจากพืช” เพิ่มสัดส่วนรายได้ปี 65 แตะ 25%

NRF ลุยธุรกิจ "อีคอมเมิร์ซ-อาหารโปรตีนจากพืช" เพิ่มสัดส่วนรายได้ปี 65 แตะ 25% พร้อมวางเป้าโกยรายได้ปี 66 แตะ 5 พันลบ. ตามแผน M&A-รุกขยายตลาดตปท.หนุน


นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” ออกอากาศวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 ผ่านทางเฟซบุ๊กแฟนเพจข่าวหุ้นธุรกิจ และทางยูทูป Kaohoon TV Online ว่า ทิศทางธุรกิจอาหารสุขภาพปี 2565 โดยตั้งแต่บริษัทระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ปัจจุบันได้มีการออกผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง อาทิ น้ำจิ้มศรีราชา ซึ่งในยุโรปได้รับการตอบรับดีมาก และกำลังขยายโรงงานลงทุนประมาน 200 ล้านบาท นอกจากนี้การออกผลิตภัณฑ์ภายใต้ยี่ห้อ “พ่อขวัญ” ที่เปิดตัวไปก็ได้รับกระแสตอบรับดีมากในอเมริกา

ขณะที่ธุรกิจได้มีการร่วมมือกับปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด (บริษัทย่อย ปตท.) และ บริษัท โนฟ ฟู้ดส์ จำกัด (บริษัทย่อย NRF) โดยถือหุ้นในสัดส่วนบริษัทละ 50% เพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืชแบบครบวงจร ได้ตั้งบริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้วคือ “เอ็นอาร์พีที” โดยขณะนี้โรงงานในไทยคาดว่าจะสร้างเสร็จประมาณต้นปี 2523 ด้วยกำลังผลิตอยู่ที่ 6 พันตัน  โดยในเฟสแรกประมาณ 3 พันตัน  

ทั้งนี้ในกลุ่มธุรกิจบริษัทแบ่งเป็น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-commerce), ผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช (Plant-based), ผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคที่ไม่ใช่อาหารในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม (Functional) และผลิตภัณฑ์อาหารไทยและอาหารท้องถิ่น (Ethnic Food)

โดยภายใต้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซล่าสุดบริษัทได้เข้าซื้อ 3 แบรนด์ อาทิ  Prime Labs, SOL Trading และ WellPath และมี 2 บริษัทที่ได้ควบรวมกิจการทั้งธุรกิจกัญชง บริษัท โกลเด้น ไตรแองเกิล เฮลท์ จำกัด หรือ GTH  ซึ่งได้ไปซื้อหุ้น 100% และบริษัท Indeem Group จำกัด บริษัทขายตรงออนไลน์

ด้านกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง plant-based ได้เปลี่ยนโรงงานผลิตน้ำเต้าหู้เดิม ภายใต้แบรนด์ชินโป มาเป็นโรงงานผลิตอาหารทานเล่นสัตว์เลี้ยง โดยวางเป้าหมายพัฒนา และต่อยอดความสามารถในการผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง plant-based ภายใน 3 ปี

อย่างไรก็ตามบริษัทได้วางแผนการดำเนินงานในปี 2565 โดยคาดว่ารายได้จะเติบโตได้ในระดับเดียวกับปี 2564 หรือไม่ต่ำกว่า 50% พร้อมวางเป้ารายได้ในปี 2566 อยู่ที่ 4,000-5,000 ล้านบาท โดยมาจากบริษัทที่ควบรวมกิจการจะหนุนชัดเจนมากขึ้น

ขณะเดียวกันได้เตียมปรับสัดส่วนรายได้ปี 2565 ทั้งธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารไทยและอาหารท้องถิ่น (Ethnic Food) เป็น 50% จากปัจจุบัน 80% และกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-commerce) จะอยู่ 25% จากเดิม 14% และธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช (Plant-based) สัดส่วน 20-25% จากเดิม 4%

ด้านดร.สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ  APM เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นในปีนี้และปีหน้าทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 2541 บรรยากาศหดตัวและตลาดเงินหดตัว แต่ในปี 2563-2564 ตรงกันข้ามทรงตัว โดยปีนี้คาดว่าจะมีหุ้นเข้าตลาดราว 30 บริษัทและการระดมทุนไม่น่าจะน้อยกว่า 4-5 แสนล้านบาท ก็ถือเป็นทิศทางที่ดีและเป็นโอกาทีนักลงทุนจะมองหุ้นพื้นฐานดีและลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและเป็นประโยชน์ในการระดมทุนในอนาคต

ทั้งนี้ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน NRF ต่อจากนี้บริษัทจะเข้ามาช่วยเสริมเพื่อได้เพิ่มศักยภาพธุรกิจ NRF  ทั้งการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการเข้าไปทำธุรกรรม M&A หรือควบรวมกิจการ โดยจะเข้าไปช่วยดูดีลต่างๆว่าจะเกิดผลดีในด้านใดบ้าง รวมทั้งการนำไปโรดโชว์เพื่อให้นักลงทุนในภูมิภาคหรือแม้แต่ในสิงคโปร์ ฮ่องกง จีน และ ญี่ปุ่นรู้จักมากขึ้น

อีกทั้งช่วยในเรื่องเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมและช่วยดูแลในส่วนของกฎเกณฑ์ระเบียบกติกาต่างๆที่จะต้องเชื่อมกับสำนักงานกลต.เพื่อช่วยให้นักลงทุนรายย่อยรู้จักบริษัทที่มีศักยภาพและมีโอกาสร่วมลงทุนบริษัทในอนาคต

ดังนั้นจากพัฒนาการทั้งการขยายโรงงานการจับมือร่วมกันปตท.เชื่อว่าภายในปี 2565-2566 ผลการควบรวมกิจการไม่ว่าจะในอเมริกาหรือในประเทศไทยที่เกิดขึ้นจะเห็นภาพผลกำไรของในกลุ่มเติบโตมากขึ้น

Back to top button