STECH คาดปี 65 รายได้โต 30% รับเมกะโปรเจกต์ภาครัฐ – Backlog แน่น 920 ลบ.

STECH คาดการณ์ปี 2565 รายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% รับโครงการเมกะโปรเจกต์หรือโครงการก่อสร้างพื้นฐานของรัฐบาล10 โครงการ รวมไปถึงมี Backlog ราว 920 ลบ.


นายทรงศักดิ์ ปิยะวรรณรัตน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ STECH คาดว่าในปี 2565 รายได้จะเติบไม่ต่ำกว่า 30% ซึ่งนับเป็นเป้าหมาย Aggressive เนื่องจากมีงานเสาเข็มคอนกรีตอัดแรงของโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน หรือสาธารณูปโภคของรัฐบาล หรือ เมกะโปรเจกต์ที่เป็นโครงการเร่งด่วนในปี 2564 ที่จะเป็นโครงการถูกผลักดันในปีหน้า

ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงไทยจีน โครงการรถไฟทางคู่ ทั้งสายเหนือ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และสายอีสาน บ้านไผ่-นครพนม โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย) โครงการรถไฟความเร็วสูงไทยจีน กรุงเทพ-หนองคาย ระยะที่ 1 กรุงเทพฯ-นครราชสีมา กำลังก่อสร้าง ระยะที่ 2 นครราชสีมา-หนองคาย จะเริ่มก่อสร้างในปี 2565 รวมถึงโครงการ Moterway Railway Master Plan (MR-Map) ที่เชื่อมโครงข่ายรถไฟทางคู่  และงานในเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน เป็นต้น

อีกทั้งบริษัทมีโครงการขยายโรงงานผลิตแห่งที่ 2 ที่เริ่มผลิตปลายเดือน ก.พ. 2565 และเริ่มรับรู้รายได้ในมี.ค. 2565 จากปัจจุบันมียอดการใช้กำลังการผลิต 75-80%

นางทรงศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการติดตามงาน 10 โครงการสำคัญที่มีโอกาสได้รับงาน จาก 20 โครงการที่คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 65 มูลค่าโครงการรวม 160,700 ล้านบาท และมีมูลค่าผลิตภัณฑ์เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง ประมาณ 18,130 ล้านบาท โดยบริษัทคาดหวังจะได้รับงานราว 25%

ทั้งนี้ 10 โครงการสำคัญ ได้แก่ งานรถไฟความเร็งสูงไทยจีน กรุงเทพ-หนองคาย ระยะที่ 1 สัญญาที่ 4-4 , รถไฟทางคู่ ช่วงเด่นชัย-เชียราย-เชียงของ (สัญญาที่ 2,3), รถไฟทางคู่ ช่วงบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-หนองคาย (สัญญาที่ 1), โครงการคลองระบายน้ำหลัก บางบาล-บางไทร สัญญาที่ 3-5, งานขยายถนนราชพฤกษ์ จ.นนทบุรี , งานสร้างถนนสายแยก ทล.3452-สี่แยกบ้านสร้าง อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี ตอนที่ 1-2 เชื่อนป้องกันตลิ่งในเขตภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคเหนือ และอีสาน

“เรามี 10 โครงการจาก 20 โครงการที่มั่นใจว่าจะชนะ เพราะเป็นโครงการที่ลูกค้าของเราประมูลงานได้ ทำให้เรามั่นใจว่าจะได้งาน เราคาดไว้ 25% จะได้รับงาน และระยะเวลางาน 2 ปี เพราะเป็นงานขนาดใหญ่” นายทรงศักดิ์ กล่าว

นอกจากนี้ งานก่อสร้างของภาคเอกชนคาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นตามธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น หลังจากภาครัฐผ่อนคลายมาตรการ LTV และมีมาตรการลดค่าโอน-จดจำนอง รวมถึงขยายเวลาลดภาษีที่ดิน

นายทรงศักดิ์ ยังกล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) ราว 920 ล้านบาท ซึ่งการรับรู้รายได้ขึ้นอยู่กับการส่งมอบงาน โดยในไตรมาส 4/64 นั้น เดือนธันวาคมเป็นช่วงที่มีวันหยุดมากก็อาจกระทบกับการส่งมอบงานบ้าง

Back to top button