จับตา 4 หุ้น “โรงไฟฟ้าขยะ” เด้งรับ PDP ใหม่ โบรกชู ETC เด่นสุด

จับตา 4 หุ้นหุ้นโรงไฟฟ้าขยะเด้งรับแผนพีดีพีฉบับใหม่ โบรกฯ ชู ETC เด่นสุดในกลุ่ม ขณะที่ ACE-TPCH-TPIPP ตีปีกรับแผนเพิ่มสัดส่วนรับซื้อไฟจากโรงไฟฟ้าขยะเพิ่มขึ้นจากแผนเดิม 200 เมกะวัตต์


นายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA เปิดเผยว่า แนวโน้มหุ้นในกลุ่มพลังงาน ที่คาดว่าจะได้รับผลบวกจากการปรับเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน หลังสำนักงานนโยบายและพลังงาน (สนพ.) อยู่ระหว่างการจัดรับฟังความคิดเห็นกรอบแผนพลังงานชาติฉบับใหม่ โดยตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (พีดีพี 2022) จะมีการปรับเพิ่มกำลังการผลิตของพลังงานทดแทนประมาณ 1,000 เมกะวัตต์ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าพลังงานขยะอีก 200 เมกะวัตต์ด้วย

ทั้งนี้มองว่าบริษัท เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ETC จะเป็นหุ้นที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม ถัดมาจะเป็นบริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ACE ส่วนบริษัท ทีพีซี เพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH และบริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP จะอยู่ในลำดับถัดลงมา

โดยยกให้ ETC เป็นหุ้นที่เด่นที่สุดด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) ในประเทศไทย โดยมีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของกำไรสุทธิปี 2564-2566 จากมาร์จิ้น และยอดขายของโรงไฟฟ้าพลังงานขยะทั้ง 3 แห่งที่สูงกว่าคาด ซึ่งคาดว่ากำลังการผลิตรวม 16.5 เมกะวัตต์ จะทำให้กำไร ETC แตะ 255 ล้านบาทในปี 2564  ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 194 ล้านบาทในปี 2563 และจะยังโตต่อเนื่องในปี 2565-2566 จากอัตราการใช้กำลังผลิตที่สูงถึง 90% และ EBITDA margin ที่สูงในระดับ 60-65% ซึ่งมาจากต้นทุนวัตถุดิบขยะอุตสาหกรรมที่ลดลง

ขณะเดียวกันนอกเหนือจากกำลังการผลิตของทั้ง 3 โรงไฟฟ้าที่มีอยู่ ยังคาดว่า ETC จะสามารถขยายกำลังการผลิตได้อีกจากการประมูลของภาครัฐที่ต้องการจะขยายกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าขยะ โดยมองว่า ETC มีโอกาสที่จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ประมาณ 5 เมกะวัตต์ในปี 2565-2566 ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตทั้งหมดรวม 21.5 เมกะวัตต์ ในขณะเดียวกัน ETC  ยังมีวัตถุดิบขยะอุตสาหกรรมอีกมากสำหรับโรงไฟฟ้าขยะใหม่ และการจัดการกับขยะอุตสาหกรรมที่ปนเปื้อนยังเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ผู้เล่นใหม่ ๆ จะเข้ามายังธุรกิจนี้ได้ยาก

นอกจากนี้คาดว่ากำไรของ ETC ปีนี้จะอยู่ที่ 255 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นเป็น 331 ล้านบาทในปี 2565 และ 358 ล้านบาทในปี 2566 จากรายได้ 804 ล้านบาท, 820 ล้านบาท และ 852 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วน EPS ในปี 2564-2566 คาดอยู่ที่ 0.11, 0.15 และ 0.16 ตามลำดับ

อย่างไรก็ตามความต้องการไฟฟ้าที่น้อยกว่าคาด ราคาน้ำมันดิบที่ลดลง และปริมาณขยะอุตสาหกรรมที่น้อยกว่าคาดอาจส่งผลต่อราคาเป้าหมายที่ให้ได้ ขณะเดียวกัน หากสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้เร็วกว่าคาด หรือประมูลจากภาครัฐได้มากกว่าคาด ก็จะส่งผลบวกต่อราคาเป้าหมายด้วยเช่นกัน ดังนั้นได้ปรับคำแนะนำ ETC จาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” รวมถึงปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 3.8 บาท จากความสามารถในการเติบโตจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในปี 2565-2566

ส่วน ACE มองว่าขณะนี้มีโรงไฟฟ้าชีวมวลอยู่ 9 แห่ง นอกจากนั้นแล้วยังมีโรงไฟฟ้าพลังงานขยะจากขยะมูลฝอยชุมชนที่ใช้เป็นวัตถุดิบอีกสองแห่งด้วยเช่นกัน ซึ่งมีความพร้อมการเดินเครื่องสูงถึง 85% และอัตราความสามารถในการผลิตไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 80% แม้จะมีความท้าทายด้านการจัดหาวัตถุดิบ และการควบคุมราคา แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการดำเนินงานของ ACE ในธุรกิจพลังงานทดแทน และคาดว่าบริษัทจะสามารถประมูลกำลังการผลิตจากภาครัฐได้หลายหน่วย ดังนั้นแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 3.60 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ TPCH เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่เป็นผู้นำด้านพลังงานทดแทนในประเทศไทยโดยมีโรงไฟฟ้าชีวมวลอยู่ 10 แห่ง และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะอีก 1 แห่ง แม้การดำเนินงานของ TPTG ที่ต่ำกว่าปกติจะเป็นดาวน์ไซด์ต่อ TPCH แต่ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของกำไรในปี 2565-2566 คาดว่ากำไรจะขยายตัว 114% ในปี 2565 และ 16% ในปี 2566 ซึ่งปัจจัยหลักจะมาจากการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้าขยะชีวมวลในเดือนกันยายน 2564 ขนาด 9.5 เมกะวัตต์ และยังมีโรงไฟฟ้าพลังงานขยะอีก 5 แห่งที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ดังนั้นแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 11.90 บาทต่อหุ้น

ด้าน TPIPP ขณะนี้มีโรงไฟฟ้าขยะอยู่ทั้งหมด 9 แห่ง ด้วยกำลังการผลิตทั้งหมด 180 เมกะวัตต์ โดยใช้เพียงขยะมูลฝอยชุมชนเป็นพลังงาน ทั้งนี้คาดว่า TPIPP มีโอกาสที่จะประมูลกำลังการผลิตได้สูงถึง 66 เมกะวัตต์ในปีหน้า ดังนั้นแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 4.18 บาทต่อหุ้น

Back to top button