WFX เทรดสนั่น! ชูจุดแข็งผู้นำ “เส้นด้ายยางยืด” ระดับโลก โบรกเคาะเป้าสูง 12.40 บ.

WFX ลุ้นเทรดสนั่น! โบรกเคาะเป้าสูงสุด 12.40 บ. ชูจุดแข็งผู้นำ “เส้นด้ายยางยืด” ระดับโลก โกยกำไร 9 เดือนแรกโตทะลัก 2 เท่าตัว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้หลักทรัพย์ บริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ WFX จะเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรกในเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรกที่ราคาหุ้นละ 7.20 บาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

ด้านนายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลท.ต้อนรับ WFX เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคและบริโภค หมวดแฟชั่น โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “WFX”

โดย WFX ประกอบธุรกิจผลิตเส้นด้ายยางยืด 2 ประเภท ได้แก่ เส้นด้ายยางยืดชนิดเคลือบแป้ง และเส้นด้ายยางยืดชนิดเคลือบซิลิโคน โดยจำหน่ายสินค้าให้แก่ลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ ทั้งหมดจำนวน 7 ตราสินค้า ได้แก่ WORLD FLEX, THAITEX, QUALIFLEX, LT RUBBER, CHANGTHAI, PEGASUS (Blue), PEGASUS (China) กำลังการผลิตจริงของเส้นด้ายยางยืดทุกขนาดรวมกันประมาณ 36,000 ตันต่อปี ภายใต้แนวคิด “A Manufacturer of High Quality Natural Rubber Thread” ซึ่งบริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก จากการที่ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตน้ำยางข้นอันดับ 1 ของโลก และมีน้ำยางคุณภาพดีและมีปริมาณเพียงพออย่างสม่ำเสมอ

ทั้งนี้ WFX มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหลัง IPO 464.20 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิมจำนวน 322.20 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 142 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรกระหว่างวันที่ 9-17 ธันวาคม 2564 ในราคาหุ้นละ 7.20 บาท มูลค่าระดมทุนรวม 1,022.40 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO ที่ 3,342.24 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

ด้านนายชวลิต ติยาเดชาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WFX เปิดเผยว่า ด้วยประสบการณ์การดำเนินธุรกิจมากกว่า 30 ปี WFX มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเส้นด้ายยางยืดชั้นนำของโลก นำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพในระดับสากลที่สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม และให้บริการที่สร้างความพึงพอใจสูงสุด

โดยบริษัทฯ มีแผนเพิ่มขีดความสามารถด้วยโครงการลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตเส้นด้ายยางยืดมูลค่าการลงทุน 740 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งของบริษัทฯ จากปีละ 47,160 ตัน เป็น 61,000 ตันในปี 2566

นอกจากนี้ WFX ยังมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญในกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและรับผิดชอบต่อสังคมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ WFX มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB ถือหุ้น 66.35% โดย WFX มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 1 ใน 3 ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการภายหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัทฯ

 

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินมูลค่าเหมาะสมที่ 9.60 บาท ด้วยวิธี PE multiple โดยใช้กำไรต่อหุ้นปี 22 ที่ 0.59 บาท เพื่อสะท้อนการเติบโตที่ต่อเนื่องของผลประกอบการในปี 2565-66 จากการเติบโตตามฐานลูกค้าเดิมที่ได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก และการขยายฐานลูกค้าใหม่ไปยังประเทศต่างๆ และกำหนดเป้าหมาย PE ปี 65 ที่ระดับ 16.2 เท่า อิงกับค่าเฉลี่ยของบริษัทที่มีลักษณะธุรกิจใกล้เคียงกับบริษัท

ทั้งนี้ ในปี 2564-66 คาดกำไรสุทธิเติบโตราว 76% ต่อปีอิงสมมติฐาน ดังนี้ (1) รายได้จากการดำเนินงานในปี 64-66 อยู่ที่ 3.3, 3.7 และ 4.1 พันล้านบาท ตามลำดับ สนับสนุนจากการขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ทั้งจำหน่ายสินค้าให้แก่ลูกค้าเดิมในปริมาณเพิ่มมากขึ้นสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวในแต่ละประเทศ และการขยายฐานลูกค้าใหม่ (2) อัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายที่ 4.9%, 4.7% และ 4.5% ในปี 64-66 ตามลำดับ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายคงที่

ขณะที่เงินที่ได้จากการขายหุ้น IPO คราวนี้ บริษัทฯ มีแผนนำไปใช้ (1) เงินทุนในการขยายโรงงานผลิตเส้นด้ายยางยืด (2) ชำระคืนเงินกู้แก่ สถาบันการเงิน และ (3) เงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัทฯ

 

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 2565 สำหรับ WFX ที่ 10.10-11.50 บาท ซึ่งคำนวณโดยอิง PER ปี 65 ที่ 15-17 เท่า เท่ากับหุ้นในกลุ่มสิ่งทอในจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัท เนื่องจากไม่มีหุ้นที่จด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯที่ดำเนินธุรกิจเช่นเดียวกันกับบริษัท

ขณะที่ประเมินว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิในปี 2564 โตแรงถึง 369% จากปีก่อนเป็น 271 ล้านบาท เพราะได้แรงหนุนจากทั้งปริมาณการขายและราคาขายที่ปรับตัวสูงขึ้น สำหรับปี 2565 คาดกำไรโตได้ต่อเนื่องเป็น 313 ล้านบาท (+15% จากปีก่อน) จากปริมาณการขายที่คาดยังเพิ่มขึ้น และการขยายกำลังผลิตเพิ่มอีก 1.24 หมื่นตัน ในปี 2565 – 2566

ทั้งนี้ EPS ปี 2564 ที่ 0.58 บาท/หุ้น จะโต 211% ต่ำกว่าการเติบโตของกำไรสุทธิจากผลของจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นหลังเพิ่มทุน แต่ EPS จะกลับไปเติบโตเท่ากับการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิได้ตั้งแต่ปี 2565

โดย WFX เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเส้นด้ายยางยืด ทั้งที่เป็นเส้นด้ายยางยืดแบบเคลือบแป้ง และเส้นด้ายยางยืดเคลือบซิลิโคน ซึ่งนำไปใช้เป็นส่วนประกอบของสินค้าอุปโภคได้หลากหลาย เช่น เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ถุงเท้า ชุดชั้นใน อุปกรณ์ทางการแพทย์ (สายคล้องหน้ากาก ยางยืดชุด PPE) และ เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น โดยบริษัทถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเส้นด้ายยางยืดไม่กี่รายของโลกที่สามารถผลิตเส้นด้ายยางยืดได้ทุกขนาด (ขนาดใหญ่, ขนาดกลาง, ขนาดมาตรฐาน และขนาดเล็ก) ซึ่งสินค้าที่บริษัทผลิตเกือบทั้งหมดจำหน่ายไปต่างประเทศที่ผ่านมามีจีนเป็นตลาดหลักราว 76% ของยอดขายในช่วงครึ่งแรกของปี 64 อีกราว 13% เป็นการขายไปประเทศอื่นๆ ในแถบเอเชีย

 

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมิน Fair value สิ้นปี 2565 ที่ 11.34 บาท อ้างอิงวิธี P/E 17 เท่า ซึ่งเป็นระดับ ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ของอุตสาหกรรมแฟชั่น (SETFASH Index) -0.25SD โดยเลือกเฉพาะระดับที่อยู่ในช่วงเวลาปกติไม่เกิน 100 เท่า เพื่อความ Conservative

สำหรับความน่าสนใจในการลงทุน WFX ประกอบด้วย

1.ผลิตภัณฑ์ครอบคลุมสินค้าในหลายอุตสาหกรรม โดยบริษัทมุ่งเน้นผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย ทั้งในส่วนของ ชนิด ขนาด และสี เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่ีมีความแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม โดยบริษัทเป็นผู้ผลิตเส้นด้ายยางยืดเพียงไม่กี่รายในโลกที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมสินค้าในเกือบทุกอุตสาหกรรม

2.ผลิตภัณฑ์เส้นด้ายยางยืดเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากใช้เป็นส่วนประกอบของสินค้าสำเร็จรูปต่างๆ ที่มีความจำเป็นในการอุปโภคและเป็นสินค้าที่มีอายุการใช้งานจำกัด ทำให้เกิดการบริโภคสินค้านั้นๆ ซ้ำอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่ต้องการอยู่เสมอ

3.ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ โดยประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตน้ำยางข้นคุณภาพดีใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลก ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบของบริษัท ทั้งในด้านความเพียงพอ คุณภาพของวัตถุดิบหลักและการขนส่งวัตถุดิบทำให้บริษัทเป็นผู้ผลิตเส้นด้ายยางยืดรายใหญ่ของโลกที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง

4.ผู้ผลิตเส้นด้ายยางยืดรายใหญ่ของโลก โดยบริษัทมีแผนขยายกําลังการผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธในการขยายฐานลูกค้าใหม่ เพิ่มขีดความสามรถในการรองรับปริมาณความต้องการของลูกค้าและสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งนี้บริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตติดตั้งจาก 41,040 ตันต่อปีในปี 2563 เป็น 61,000 ตันต่อปีภายในปี 2566

5.แนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น โดยประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-2566 จำนวน 274 ล้านบาท 310 ล้านบาท และ 332 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นการเติบโตในอัตราเฉลี่ย (CAGR) ราว 79.1% ต่อปี คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิต่อยอดขาย 7.8% 8.0% และ 8.0% ตามลำดับ จากแผนการเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งสามารถผลิตสินค้าได้หลากหลายชนิดมากขึน

ทั้งในด้านขนาดและคุณภาพ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้นในหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสินค้าที่บริษัทสามารถกำหนดราคาขายด้วยอัตรากำไรที่สูงขึ้นได้

รวมถึงคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้าให้แก่กลุ่มลูกค้าประเภทผู้ใช้งานโดยตรง (End-user) ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่ากลุ่มลูกค้าประเภทผู้จำหน่ายสินค้า (Distributor) ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น

 

บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินมูลค่าหุ้น WFX ที่ 12.40 บาท/หุ้น ด้วยวิธี PER ปี 2565 ที่ 18 เท่า เท่ากับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม Fashion โดยคาดว่าปี 64-65 มีกำไรสุทธิเติบโต +382%/+14% ตามลำดับ โดยผลการดำเนินงานของบริษัทฯจะเติบโตได้โดดเด่นจากธุรกิจแผนขยายกำลังกำรผลิตต่อเนื่อง โดยใช้ความได้เปรียบด้านต้นทุนบริษัทจึงใช้กลยุทธ์เชิงรุกเข้าไปเจาะกลุ่มตลาดใหม่มากขึ้น รวมถึงชิงส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่ง และบริษัทจะลดการพึ่งพาตัวแทนจำหน่าย และขายสินค้าโดยตรงให้กับ End user มากขึ้น เพื่อเพิ่ม margin โดยประมาณการของปี 2565 มี upside จากปริมาณการขาย และ margin ที่ดีกว่าคาด

ขณะที่ในปี 2564 ประเมินกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น +382% จากปีก่อน อยู่ที่ 279 ล้านบาท และปี 2565 เพิ่มขึ้น +14% จากปีก่อนอยู่ที่ 318 ล้านบาท จากสมมติฐาน 1) อัตรากำไรขั้นต้น (gross margin) ปี 2564-65 อยู่ที่ 15% และ 14.5% ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจาก 7.4% ของปี 2563 จาก economies of scale

2)รายได้ปี 2564/65 อยู่ที่ 3,595 ล้านบาท (+50% จากปีก่อน) และ 4,120 ล้านบาท (+15% จากปีก่อน) จากการเพิ่มกำลังการผลิต และได้ ลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 3) ค่าใช้จ่ายในการขายทั่วไปและบริหาร (SG&A/Sales) ปี 2565 ลดลงเหลือ 4.5% จาก 4.9% ของปี 2564 จากรายได้ที่ มากขึ้น 4) ภาษี (Tax) ปี 2565 ลดเหลือ 16.5% จาก 18% ของปี 2564 จาก BOI

Back to top button