กลุ่มโบรกฯเชียร์ “ซื้อ” UOB เป้า 34.20 ดอลลาร์สิงคโปร์ หลังคว้าธุรกิจรายย่อย “ซิตี้กรุ๊ป”

UOB โบรกฯประสานเสียง “ซื้อ” ชูเป้าสูง 34.20 ดอลลาร์สิงคโปร์ รับปัจจัยบวกซื้อธุรกิจธนาคาร “ซิตี้กรุ๊ป” ในอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม ชี้เสริมแกร่งธุรกิจและเติบโตดีในระยะยาว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีกลุ่มธนาคารยูโอบีประกาศได้เข้าถือสิทธิ์ในธุรกิจธนาคารเพื่อผู้บริโภคของ “ซิตี้กรุ๊ป” ในอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม ทำให้บริษัทโบรกเกอร์หลายแห่งมีปฏิกิริยาในทางบวกและประสานเสียงแนะนำให้ซื้อหุ้น “UOB”

อย่างบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (17 ม.ค. 2565) ได้ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายยูโอบี โดยให้ราคาเป้าหมาย 34.20 ดอลลาร์สิงคโปร์ จากเดิม 29.93 ดอลลาร์สิงคโปร์ โดยการปรับราคาเป้าหมายสันนิษฐานว่า ผลตอบแทนหุ้น (ROE) ของยูโอบีจะเพิ่มขึ้น 11% จากเดิมคาดไว้ 10%

โดย ลิม รุย เหวิน นักวิเคราะห์ของบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส กล่าวว่า การเข้าถือสิทธิ์จะช่วยให้ยูโอบีปรับปรุงกลยุทธ์ในภูมิภาคได้เร็วขึ้นและดีขึ้น โดยคาดว่าจะปล่อยเงินกู้ได้ประมาณ 9,100 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ มีเงินฝาก 6,200 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ รวมถึงสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร 6.700 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และมีลูกค้า 2.40 ล้านคน

ดังนั้นจึงเชื่อว่าข้อตกลงนี้มีราคาค่อนข้างดีโดยทรัพย์สินของซิตี้กรุ๊ปจะเป็นแพลตฟอร์มที่ดีสำหรับยูโอบี ที่จะขยายขอบเขตและขยายธุรกิจแฟรนไชส์ในภูมิภาค เสริมความแข็งแกร่งให้กับการวางโพซิชั่นและกลยุทธ์ในอาเซียน เนื่องจากยูโอบีเป็นธนาคารแห่งเดียวของสิงคโปร์ที่มีการดำเนินงานในอาเซียนอย่างกว้างขวาง

อีกทั้ง ลิม รุย เหวิน เชื่อว่าในอนาคตหุ้นยูโอบีจะยังคงปรับอันดับใหม่ เพราะคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวในภาวะดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ด้านนักวิเคราะห์หลายคนได้คาดการณ์ว่าปี 2565 จะมีส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าเงินกู้ในภูมิภาคมี NIM สูงกว่า

นอกจากนี้ยังมองเห็นโอกาสสำหรับยูโอบีในการขายผลิตภัณฑ์รายย่อยข้ามกันในระยะกลางหลังการทำธุรกรรม โดยสองธนาคารมีจุดแข็งรวมกันในด้านการปล่อยสินเชื่อที่มีหลักประกัน และซิตี้แบงก์มีความแข็งแกร่งในด้านเงินทุน รวมทั้งยังเชื่อว่าการดำเนินงานและการรวมธุรกิจยังคงเป็นกุญแจสำคัญในการผนึกกำลังในระยะยาวของกลุ่ม โดยยูโอบีประเมินว่าจะมีอัตราสูญเสียลูกค้าประมาณ 10% ในขณะเดียวกันมีความแข็งแกร่งของพนักงานซึ่งมีอยู่ประมาณ 5,000 คนเมื่อซื้อกิจการ

ขณะที่บล.เจฟเฟอรี่ส์ ระบุว่า มีการปรับเพิ่มราคาเป้าหมายยูโอบี ให้ราคาเป้าหมายที่ 33.50 ดอลลาร์สิงคโปร์  จากเดิม 33.00 ดอลลาร์สิงคโปร์

ด้าน กฤษณะ กูฮา นักวิเคราะห์ของบล.เจฟเฟอรี่ส์ ก็มีความเห็นเช่นเดียวกันว่า ข้อตกลงนี้ถูกต้องทั้งหมดเนื่องจากไม่มีการเพิ่มทุน ยังคงนโยบายการจ่ายเงินปันผล มีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นและมีการกำหนดราคาที่เป็นธรรม นอกจากนี้ไม่คิดว่าการรวมกิจการจะเป็นปัญหา เนื่องจากยูโอบีมีอดีตพนักงานของซิตี้กรุ๊ปในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงและกำลังเข้าซื้อกิจการธุรกิจที่ดี  อีกทั้งรายได้มากกว่าสองในสามมาจากบัญชีที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน จะช่วยเสริมและกระจายผลิตภัณฑ์และผสมผสานรายได้ที่มีอยู่ของกลุ่ม ซึ่งจะสามารถขายผลิตภัณฑ์ข้ามกันได้

ส่วน บล.อาร์เอชบี ก็มองว่าจะเป็นแรงหนุนแก่ยูโอบีในไทยและอินโดนีเซีย ซึ่งธุรกิจปล่อยกู้ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันทำ NIM ได้สูงกว่า โดยบทวิเคราะห์ของอาร์เอชบี กล่าวว่า ข้อตกลงซิตี้กรุ๊ปเป็นผลดีเนื่องจากเชื่อว่าจะเพิ่มแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวให้แก่ยูโอบี โดย 90% ของเงินกู้ของซิตี้แบงก์จัดเป็นการปล่อยกู้ที่ไม่มีหลักประกันในประเทศในกลุ่มอาเซียน ยกเว้นในมาเลเซีย นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่า ธุรกิจปล่อยกู้ที่ไม่มีหลักทรัพย์ในอินโดนีเซีย มีความแข็งแกร่งมาก

ทั้งนี้บล.อาร์เอชบียังคงแนะนำ “ซื้อ” ยูโอบี โดยมีราคาเป้าหมายเท่ากัน 33.50 ดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งอิงตามมูลค่าที่แท้จริงที่ 31 ดอลลาร์สิงคโปร์ และค่าพรีเมียมในการกำกับดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) 8%

ขณะเดียวกัน บล.เมย์แบงก์ แนะนำให้ “ซื้อ” โดยคงราคาเป้าหมายยูโอบีที่เดิม  31.15 ดอลลาร์สิงคโปร์ มองว่าข้อตกลงดังกล่าวมีความเหมาะสม เนื่องจากเชื่อว่าการซื้อสินทรัพย์ของซิตี้กรุ๊ปจะทำให้ยูโอบีสามารถใช้ประโยชน์จากการเปิดประเทศในอาเซียนอีกครั้ง และประเมินว่าการเข้าซื้อกิจการจะสร้างกำไรต่อหุ้นให้ยูโอบีถึง 4% ภายในปี 2566

นอกจากนี้นักวิเคราะห์ยังเชื่อว่าการเปิดเศรษฐกิจใหม่ของอาเซียนและการขึ้นดอกเบี้ย จะสร้างโอกาสที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจบัตรเครดิตและผลิตภัณฑ์บริหารความมั่งคั่ง ด้วยข้อตกลงที่คาดว่าจะเพิ่มฐานลูกค้ารายย่อยในอาเซียนให้ยูโอบีเป็นสองเท่า ซึ่งบล.เมย์แบงก์ เชื่อว่า สัดส่วนธุรกิจบริหารความมั่งคั่งแบบ Mass-premium ของ ยูโอบี  จะมีความได้เปรียบมาก เนื่องจากอาจเพิ่มลูกค้าที่เป็นคนรวยได้ประมาณ 81% และลูกค้าที่มีความมั่งคั่งใหม่ ประมาณ 1.70 เท่า

Back to top button