RICHY กางแผนปี 65 เปิดตัว 4 โครงการ 6 พันลบ. เคาะงบซื้อที่ดิน 1.4 พันลบ.

RICHY เล็งเปิด 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 6 พันลบ. เตรียมงบลงทุนซื้อที่ดิน 1.4 พันลบ. มั่นใจสนับสนุนผลงานเติบโตอย่างมั่นคง


ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ RICHY เปิดเผยว่าในช่วงตลอด 20 ปีที่ผ่านมา นับจากการก่อตั้งบริษัทในปี พ.ศ.2545 บริษัท ริชี่เพลซ 2002  จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทจดทะเบียนด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ดำเนินธุรกิจควบคู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน จนกลายเป็นแบรนด์ที่ได้รับความน่าเชื่อถือและไว้วางใจ ทั้งในด้านคุณภาพของสินค้าและการบริการที่ดี พร้อมมุ่งมั่นสรรค์สร้างสังคมที่เปี่ยมสุขให้กับทุกชีวิตทุกการอยู่อาศัยในโครงการของ RICHY

ทั้งการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ยังครอบคลุมทุกเซ็กต์เมนต์และทุกระดับราคา ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล เป็นจำนวนทั้งหมด 15 โครงการ มูลค่ารวม 24,047 ล้านบาท โดยยึดมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อสรรสร้างที่อยู่อาศัยให้เป็น บ้าน ที่เปี่ยมสุข บนทำเลที่เลือกสรรค์อย่างดีที่สุดไปพร้อมกับการยกระดับคุณภาพชีวิตภายใต้แนวคิด Rich in Living เติมชีวิตให้อิ่มสุขในทุกๆ วัน

บริษัทฯ มีการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืนมาตลอด 20 ปีของผู้มีส่วนร่วมทุกภาคส่วนที่เติบโตไปพร้อมกัน เนื่องในวาระที่บริษัทฯ ครบรอบ 20 ปีแห่งการดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเฉลิมฉลองโอกาสอันเป็นมงคลนี้ บริษัทฯ มอบส่วนลดฉลองแคมเปญ “ริชี่ 20 ปี ลด 20% ทุกยูนิต” แทนคำขอบคุณลูกค้าที่ไว้วางใจและเป็นส่วนหนึ่งบนเส้นทางสู่ความสำเร็จ เพียงจองโครงการบ้านและคอนโดมิเนียม ทุกการจองรับทันทีส่วนลด 20% โดยมอบส่วนลดสูงสุด ตั้งแต่ 20,000-1,000,000 พร้อมของแถมจัดเต็มอีกมากมาย เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2565″ ดร.อาภา กล่าว

สำหรับแผนงานในปี 2565 มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท ได้แก่ 1. โครงการริชตัน พัฒนาการ สวนหลวง โครงการทาวน์โฮม 2 ชั้น สไตล์ยูโรเปี้ยน จำนวน 131 ยูนิต 2. โครงการริชตัน ดอนเมือง เพิ่มสิน เป็นโครงการ ทาวน์โฮม 2 ชั้น จำนวน 163 ยูนิต และโครงการคอนโดมิเนียมใหม่อีก 2 โครงการ

รวมทั้งบริษัทฯยังคงมีความสนใจในการขยายกลุ่ม Retail Mall เพื่อสร้างความเสถียรภาพของรายได้ ซึ่งหากจะลงทุนในอนาคตเป็นเป็นการลงทุนในโครงการที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีความเป็นมิกซ์ยูส (Mixed-use) มากขึ้น โดยบริษัทมีความสนใจในทำแลเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพราะเป็นพื้นที่ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวจำนวนมาก

นอกจากนี้ บริษัทฯ วางงบลงทุนสำหรับใช้ซื้อที่ดินที่ประมาณ 1,400 ล้านบาทต่อปี เพื่อใช้ขยายธุรกิจ โดยการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ทั้งนี้ บริษัทฯเชื่อว่าแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 จะมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนในสังคมเริ่มปรับตัวให้อยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แม้จะมีการกลายพันธุ์เกิดขึ้น และประเมินว่าอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

Back to top button