“ทรงกลด” ชี้เป้า SET ปีนี้ทะลุ 1,800 จุด แนะสอย 5 หุ้นท็อปพิค! ฉายแววกำไรปี 64-65 โตสนั่น

“ทรงกลด” ชี้เป้า SET ปีนี้ทะลุ 1,800 จุด แนะสอย 5 หุ้นท็อปพิค! KBANK,IVL, SAT,EA,BCH,NEX ฉายแววกำไรปี 64-65 โตสนั่น


นายทรงกลด วงศ์ไชย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และนายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ระบุในบทวิเคราะห์ถึงแนวทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยว่าท่ามกลางสถานการณ์ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯเตรียมปรับลด QE และงบดุล FSSIA มองว่าจะทำให้ผลตอบแทนในตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับกลางในปีนี้

อย่างไรก็ดีจะยังมีแรงส่งจากตลาดอยู่ตราบใดที่เศรษฐกิจยังคงขยายตัวต่อเนื่อง และผลดำเนินการของบริษัทจดทะเบียนแข็งแกร่งขึ้น และเชื่อว่าผลพวงจากเฟดจะมีผลกระทบจำกัดต่อตลาดหุ้นไทยจาก 1) หนี้ต่างประเทศต่ำ 2) ตัวเร่งจากปัจจัยพื้นฐานมีความยั่งยืนกว่าตัวเร่งจากสภาพคล่อง 3) ผลกระทบเชิงบวกจาก FTSE 100 หลังธนาคารกลางอังกฤษขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรก 4) ประเทศไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่ดี และ 5) การแยกตัวทางในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจออกจากเศรษฐกิจทางตะวันตก

หากตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงจากผลพวกเชิงลบต่อเฟด FSSIA เชื่อว่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการดักเก็บหุ้น อย่างไรก็ตาม FSSIA เชื่อว่าผลประกอบการ และการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนที่จะแข็งแกร่งกว่าคาดกับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่น้อยกว่าคาดจะช่วยให้ SET Index ปรับตัวขึ้นสู่เป้าหมายที่ 1,892 จุด ณ สิ้นปีนี้ได้

ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ของ BNP Paribas ระบุว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนมีนาคม และจะปรับขึ้นอีกสี่ครั้งในปีนี้อีกครั้งละ 25bps จากนั้นจะปรับขึ้นอีกสี่ครั้งในปี 2023 ส่วนนโยบายดึงสภาพคล่องออกจากระบบ หรือ Quantitative Tightening คาดว่าจะประกาศในเดือน ก.ค. นี้

จากการประเมินผลกำไรในไตรมาส 4/2564 ทั้งหมดของบลูมเบิร์กคอนเซนซัสคาดว่าบริษัทจดทะเบียนใน SET จะมีกำไรแตะ 2.4 แสนล้านบาท (โต 27% เทียบไตรมาสก่อนหน้า, โต 37% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) นำโดยกลุ่ม F&B กองทุนอสังหาฯ ขนส่ง และพาณิชย์ โดยคาดว่า PLANB, BEM, PSH และ BANPU จะมีกำไรในไตรมาส 4/2564 เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่ IVL,THG, BCH, PTTEP และ EGCO จะมีกำไรการเติบโตแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในเดือนกุมภาพันธ์นี้ FSSIA มองหุ้นที่มีอัตรากำไรการเติบโตที่แข็งแกร่ง ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยจะเผชิญกับความเสี่ยงในเดือนนี้ FSSIA มองว่าหุ้นมูลค่า (value stock) จะปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าหุ้นเติบโต (growth stock) โดยเลือก KBANK, IVL, SAT, EA, BCH และ NEX เป็นหุ้นท็อปพิกประจำเดือนกุมภาพันธ์

ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ราคาเป้าหมาย 180 บาท โดย FSSIA เชื่อว่าธุรกิจของ KBANK นั้นค่อนข้างไปในทิศทางเดียวกันกับ SCB โดย KBABNK เป็นหนึ่งในผู้นำด้านดิจิทัลแพลตฟอร์ม และเทคโนโลยีในกลุ่มธนาคารด้วยกัน ซึ่งคาดว่าจะเป็นหุ้นที่จะได้รับผลประโยชน์มากที่สุดจากการขับเคลื่อนเข้าสู่ยุคดิจิทัลของประเทศไทย นอกจากนั้นแล้วส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจสินเชื่อบุคคลของ KBANK ยังอยู่ในระดับท็อป 3 ด้วยเช่นกัน โดยธุรกิจนี้มีโอกาสการเติบโตสูง และยังมี risk-reward ที่น่าดึงดูดเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ โดยคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรปี 2564 จะเพิ่มขึ้น 29% และปี 2565 จะเพิ่มขึ้น 9.2%

บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL ราคาเป้าหมาย 70 บาท โดย FSSIA คาดว่ากำไรไตรมาส 4/2564-ปี2565 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากมาร์จิ้นผลิตภัณฑ์ และอัตราการใช้กำลังการผลิตสำหรับ IOD, PET-PTA และกลุ่มไฟเบอร์ จากมาร์จิ้น MTBE และ MEG ที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่สาม ซึ่งแรงขับเคลื่อนหลักได้แก่ 1) มาร์จิ้น PET-PTA ที่แข็งแกร่งจากยอดส่งออกจีนที่ลดลงสลับกับดีมานด์ที่โตขึ้น 2) มาร์จิ้นโพลีเอสเตอร์ไฟเบอร์ที่ฟื้นตัวสำหรับกลุ่มยานยนต์ และกลุ่มไลฟ์สไตล์ 3) อีเทนแครกเกอร์ที่เริ่มดำเนินการในเดือน พ.ย. 2564 โดยคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรปี 2564 จะเพิ่มขึ้น 323.5% และปี 2022 จะเพิ่มขึ้น 10.6%

บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT ราคาเป้าหมาน 29 บาท เนื่องจาก 1.) คาดว่ากำไรปี 2564 จะแตะนิวไฮ 2) ภาพรวมปี 2565 ยังคงแข็งแกร่งจากการฟื้นตัวของการผลิตรถ 3) มีออเดอร์ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา และ 4) มียีลด์ปันผลน่าดึงดูดที่ 7% นอกจากนั้นแล้วยังคาดว่าในอนาคตจะสามารถจะมีออเดอร์ EV เข้ามาหากมีการผลิตรถ EV ในไทย โดยคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรปี 2564 จะเพิ่มขึ้น 15.9% และปี 2565 จะเพิ่มขึ้น 8.8%

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ราคาเป้าหมาย 122 บาท โดย FSSIA มองว่าการเติบโตของกำไรจะเร่งตัวขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 เป็นต้นไป และจะดันกำไรปี 2565 เพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 19% และกำไรปี 2566 อีก 14% จากการเติบโตของโครงการสตาร์ทอัพ S-curve หลายโครงการ ซึ่งรวมถึงการส่งมอบรถบัส EV 200-300 คันในไตรมาส 4/2564 และโรงงานแบตเตอรี่ 1GWh เฟสแรกในเดือนธันวาคม  2564 นอกจากนั้นยังจะมีการส่งมอบรถบัส EV อีก 2,000-3,000 ในปี 2565 โดยคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรปี 2564 จะเพิ่มขึ้น 25.8% และปี 2565 จะเพิ่มขึ้น 68.9%

บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH ราคาเป้าหมาย 28.50 บาท โดย FSSIA เชื่อว่าหากมีการแพร่ระบาดของโอมิครอนในไทย กลุ่ม healthcare จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ทั้งเรื่องการตรวจเชื้อ การรักษาทั้งในร.พ. และฮอสพิเทล และรายได้จากการฉีดวัคซีน ซึ่ง BCH เป็นท็อปพิกสำหรับ FSSIA เนื่องจากมีส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการด้านโควิดที่ใหญ่ที่สุดในช่วงการระบาดของสายพันธุ์เดลต้า โดยคิดเป็น 56% ของรายได้ในไตรมาส 2/2564 และ 71% ในไตรมาส 3/2564 นอกจากนั้นแล้ว EBITDA margin ยังปรับตัวพุ่งขึ้นถึง 42- 52% ในช่วงดังกล่าว เทียบกับ 27-29% ในช่วงก่อนโควิดระบาด โดยคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรปี 2564 จะเพิ่มขึ้น 370.5% ส่วนปี 2565 ลดลง 62.6%

บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX ราคาเป้าหมาย 26 บาท โดย FSSIA  ระบุว่าแม้ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นกว่าสองเท่าตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย. 2564 แต่เชื่อว่าการเติบโตของกำไรยังคงแข็งแกร่ง และจะยังสูงขึ้นอีกในปี 2565-2566 ผลักดันโดย 1) ความชัดเจน และยอดขาย e-bus ที่จะสูงถึง 3,000-4,000 คันในปี 2565 และคาดว่าจะมี e-truck ขายในปีเดียวกันเช่นกัน ซึ่งจะทำให้กำไรสูงขึ้นอีก 2) ดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการจากภาครัฐในการส่งเสริมอุตสาหกรรม EV ที่คาดว่าจะประการออกมาเร็วๆ นี้ โดยคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรปี 2564 จะเพิ่มขึ้น 46.3% และปี 2565 จะเพิ่มขึ้น 1,192%

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button