เปิดโผ 5 หุ้นกำไรปี 64 โตสนั่น 2 เท่าตัว ตอกย้ำพื้นฐานแกร่ง

LPH, LEO, TPIPL, AHC และ KGI กำไรปี 64 โตสนั่น 2 เท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตอกย้ำพื้นฐานแกร่ง คาดปี 65 เติบโตต่อเนื่อง


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวมรวบบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (บจ.) ทั้งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่ได้รายงานผลประกอบการงวดปี 2564 ว่ามีกำไรสุทธิเติบโตราวประมาณ 200% หรือ 2 เท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังมีแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2565 จะเติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง อาทิ LPH, LEO, TPIPL, AHC และ KGI เป็นต้น

บริษัท โรงพยาบาล ลาดพร้าว จำกัด (มหาชน) หรือ LPH รายงานผลการดำเนินปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 464.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 225.10% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 142.89 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นมาจากรายได้จากการรักษาพยาบาล ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นของรายได้การรักษาพยาบาลสำหรับผู้ใช้บริการทั่วไปในอัตราเติบโต 29.74% และจากโครงการประกันสังคม 54.57% โดยมีปัจจัยบวกหลักจากผู้เข้ารับบริการทั้งผู้ป่วยปกติและผู้ป่วยที่มี อาการร่วมกับโรคโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้น

ขณะเดียวกันการเติบโตของรายได้ส่วนงานตรวจสุขภาพ  (Mobile  Checkup) และพยาบาลปฏิบัติงานในโรงงานและ หน่วยงานต่างๆ เพิ่มขึ้นปีที่ผ่านมาคิดเป็น  221.22%

รวมทั้งการเติบโตต่อเนื่องของรายได้จากการให้บริการของบริษัทย่อย (บริษัท ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการ แพทย์และการเกษตรแห่งเอเซีย จํากัด (มหาชน) “AMARC” สำหรับปี 2564 เติบโตในอัตรา 11.86% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา  จากการขยายขอบเขตการให้บริการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการทั้งสินค้าเกษตร อาหารและยา กอปรกับกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการเพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้บริษัทฯ ประกาศจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 5 พ.ค. 2565 และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 20 พฤษภาคม 2565

ทั้งนี้เป็นการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องหลากย้อนกลับไปดูอย่างปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 142.89 ล้านบาท ถัดไปในปี 2562 มีกำไรสุทธิ 110.49 ล้านบาท และในปี 2561 มีกำไรสุทธิ 156.95 ล้านบาท

ด้าน บล.เคจีไอ ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า LPH มีโมเมนตัมกำไรจะเป็นบวกจากการที่ COVID-19 กลับมาระบาดในไตรมาส 1 ปี 2565 ซึ่งทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นและจะทำให้มีการใช้บริการตรวจและรักษาโควิด-19 เพิ่มขึ้น และในปี 2565 ยังคงคิดว่ากำไรสุทธิน่าจะดีขึ้นมาอยู่ระดับก่อนโควิด-19 นอกจากนี้แนวโน้มของบริษัทฯ สดใสมากขึ้นเพราะจะได้รับผลกระทบน้อยลงจากการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลืองบนถนนลาดพร้าว จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 7.10 บาท

บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO รายงานผลการดำเนินปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 198.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 249.55% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 56.88 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น เกิดจากความสามารถในการสร้างรายได้ที่มีการเติบโตทั้งจำนวนเงินและปริมาณการขนส่ง และกำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น แสดงให้เห็นว่าบริษัทฯ มีความสามารถในการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์จึงทำให้ปริมาณการขนส่งสินค้าทางเรือของบริษัทฯ มีการเติบโตที่ดีท่ามกลางสถานกรณ์ในปี 2564 ที่มีแต่ข่าวการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ผู้ส่งออกไม่สามารถหาพื้นที่บนเรือสำหรับการส่งออกสินค้า

นอกจากนี้บริษัทฯ ประกาศจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.18 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 9 พ.ค.2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 26 พ.ค. 2565

ทั้งนี้เป็นการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องหลากย้อนกลับไปดูอย่างปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ  56.88 ล้านบาท ถัดไปในปี 2562 มีกำไรสุทธิ 45.88 ล้านบาท

ด้าน บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า LEO รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/2564 ที่ 77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 449% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 47% จากไตรมาสก่อน หักรายการพิเศษกำไรหลักอยู่ที่ 78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 459% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน ซึ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ และสูงกว่าที่ทางฝ่ายวิจัยคาดการณ์ 10% สำหรับแนวโน้มไตรมาส 1/2565 คาดทำออลไทม์ไฮต่อเนื่อง โดยทางฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2565 ขึ้นอีก 13% เป็น 276 ล้านบาท (เติบโต 26%) โดยรวมธุรกิจ Air freight ที่ซื้อมาเพิ่ม คาดเห็น Consensus ปรับกำไรตาม แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 22.50 บาท จากเดิม 20 บาท

บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL รายงานผลการดำเนินปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 5,670.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 278.50% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,498.15 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินงานงวดปี 2564 กำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 38,920 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.55% เมื่อเทียบจากปี 2563 ที่มีรายได้จากการขาย 34,276 ล้านบาท รวมทั้งมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 391 ล้านบาท

ทั้งนี้เป็นการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องหลากย้อนกลับไปดูอย่างปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,498.15 ล้านบาท ถัดไปในปี 2562 มีกำไรสุทธิ 1,393.53 ล้านบาท และในปี 2561 มีกำไรสุทธิ 323.78 ล้านบาท

ขณะเดียวกันบล.เมย์แบงก์ ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า TPIPL มีแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/2565 คาดกำไรจะยังเด่นในระดับเกิน 1 พันล้านบาท รับแรงหนุนธุรกิจปิโตรเคมี สเปรด EVA – Ethylene ที่เดือน ม.ค. แม้ว่าจะอ่อนตัวลงแต่ยังอยู่ในระดับสูง 1,600 เหรียญต่อตัน

สำหรับแนวโน้มปี 2565 ประมาณการของทางฝ่ายวิจัยบนสมมติฐานให้สเปรดปิโตรเคมีลดลงจากปี 2564 และ ธุรกิจพลังงานโรงไฟฟ้าที่ได้ adder 3.50 บาท จะทยอยหมดอายุคือ TG3 18MW เดือน ม.ค. และ TG5 55MW เดือน ส.ค. แต่ยังขายไฟได้ต่อที่ราคาฐาน จากโรงไฟฟ้าที่ได้ adder ทั้งหมด 163MW คาด EBITDA จะหายไปประมาณ 800-900 ล้านบาท ส่วนธุรกิจวัสดุก่อสร้าง คาดความต้องการจะฟื้นตัว และปรับราคาขายปูนซีเมนต์ขึ้น ทางฝ่ายวิจัยคงประเมินกำไรปี 2565 เท่ากับ 3,743 ล้านบาท แม้จะลดลงจากปีก่อน 34% แต่ยังเป็นระดับกำไรที่เด่น ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 2.50 บาท

บริษัท โรงพยาบาลเอกชล จำกัด (มหาชน) หรือ AHC รายงานกําไรสุทธิปี 2564 เท่ากับ 258.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 186.24 ล้านบาท คิดเป็น 258.0% จากงวดเดียวกันของปีก่อน มาจากรายได้รวม เท่ากับ 1,849.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 409.00 ล้านบาท คิดเป็น 28.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุหลักเกิดมาจากรายได้จากผู้ป่วยในโดยเฉพาะผู้ป่วยโควิด-19 ทีเพิ่มสูงขึ้นมากเนื่องจากเหตุการณ์โรคระบาดวิกฤตในประเทศไทยช่วงเดือนเมษายน ถึง กันยายน ปี 2564

นอกจากนี้บริษัทฯ ประกาศจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.6034 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 6 พ.ค.2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 17 พ.ค. 2565

ทั้งนี้เป็นการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องหลากย้อนกลับไปดูอย่างปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 72.20 ล้านบาท ถัดไปในปี 2562 มีกำไรสุทธิ 133.15 ล้านบาท และในปี 2561 มีกำไรสุทธิ 140.72 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI รายงานกำไรสุทธิปี 2564 เท่ากับ 1,858 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 227% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 567.60 ล้านบาท สะท้อนความแข็งแกร่งของบริษัท เนื่องจากมีการกระจายรายได้อย่างดีในหลายธุรกิจ โดยบริษัทฯ มีรายได้รวม 5,356 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89% เมื่อเทียบกับปี 2563 มีโครงสร้างรายได้หลักของบริษัทประกอบด้วย กำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงิน 2,232 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 42% รายได้ค่าธรรมเนียมและค่าบริการ 1,587 ล้านบาท คิดเป็น 30% รายได้ค่านายหน้า 1,282 ล้านบาท คิดเป็น 24% นอกจากนี้ เป็นรายได้ดอกเบี้ยและรายได้อื่นๆ

นอกจากนี้บริษัทฯ ประกาศจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.55 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 18 เม.ย.2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 5 พ.ค. 2565

ทั้งนี้เป็นการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องหลากย้อนกลับไปดูอย่างปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 567.60 ล้านบาท ถัดไปในปี 2562 มีกำไรสุทธิ 970.80 ล้านบาท และในปี 2561 มีกำไรสุทธิ 1,083.37 ล้านบาท

Back to top button