จัดทัพ 6 หุ้นอสังหาฯ กำไรปี 64 เด่น โบรกชู SC-SPALI-RICHY โตต่อ ตุนแบ็คล็อกแน่น

จัดทัพ 6 หุ้นอสังหาฯ กำไรปี 64 โตเด่น โบรกชู SC-SPALI-RICHY โตต่อเนื่อง พื้นฐานแกร่ง รับแบ็คล็อกแน่น


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) รายงานผลประกอบการงวดปี 2564 มีกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน พร้อมยังมีแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2565 จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ SIRI, SC, SPALI, SENA, NCH, RICHY เป็นต้น

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI รายงานผลการดำเนินปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 2,017.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.57% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,673.09 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นมาจากบริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ 6.80% ของรายได้รวมปรับเพิ่มขึ้นจากอัตรากำไรสุทธิที่ 4.80% ของรายได้รวมในปี 2563 ปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นอย่างมากของอัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจหลักจาก 23.80% ในปี 2563 มาอยู่ที่ 31.60% ในปี 2564

บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC รายงานผลการดำเนินปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 2,062.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.65% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ1,897.94 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น 2.43% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งตามการเพิ่มขึ้นของรายได้ อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการขายก็ลดลง จึงส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการที่เติบโตขึ้น

บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI รายงานผลการดำเนินปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 7,070.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66.31% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 4,251.23 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องมาจากรายได้จากการขายอสงัหาริมทรัพย์อยู่ที่ 2.89 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 2.03 หมื่นล้านบาท

บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA รายงานผลการดำเนินปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1,250.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.70% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,119.42 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องมาจากบริษัทฯ เข้าซื้อเงินลงทุน จึงส่งผลให้บริษัทมีผลกำไรจากการต่อรองซื้อเงินลงทุนในบริษัทร่วม จำนวน 489.40 ล้านบาท และกำไรจากการต่อรองราคาซื้อเงินลงทุนในบริษัทย่อย 0.90 ล้านบาท รวมกำไรจากการจากการต่อรองราคาซื้อเงินลงทุน 490.30 ล้านบาท คิดเป็น 15.30% ของรายได้รวม

บริษัท เอ็น. ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NCH รายงานผลการดำเนินปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 251.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118.54% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 115.28 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินที่ปรับตัวขึ้นมาจากบริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 2,540.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ซึ่งมีรายได้รวม 1,793.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 747.27 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 41.67% ส่วนรายได้จากการขาย 2,503.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งมีรายได้จากการขาย 1,769.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 734.57 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 41.52% เนื่องจากการฟื้นตัวของภาพรวมอุตสาหกรรม และการพัฒนาสินค้าที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า ด้านรายได้ค่าเช่าและบริการเพิ่มขึ้น 13.19 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 94.07% จากรายได้ธุรกิจบริการฟื้นฟูสุขภาพและดูแลผู้สูงอายุ

บริษัท ริชี่ เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ RICHY รายงานผลการดำเนินปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 202.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 99.07% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 101.52 ล้านบาท

โดยผลประกอบการที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากบริษัทฯ มีรายได้จากการการโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวม 1,401.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 532.29 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 61.25% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้บริษัทข้างต้นมีการประกาศผลการดำเนินงานปี 2564 พบว่ามีกำไรสุทธิเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งแล้ว และเมื่อไปสำรวจยังแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2565 จากบทวิเคราะห์ต่างๆพบว่ามีบริษัทที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเติบโตดีต่ออย่างเช่น SC, SPALI, RICHY เป็นต้น

สำหรับในส่วนของ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ทางฝ่ายวิจัยของ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 2565 ขึ้นจากเดิม 4% เป็น 2.38 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ตามการปรับยอดโอนขึ้น 5% เป็น 2.10 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากแผนรุกเปิดโครงการแนวราบใหม่ และผลของการบริหารจัดการสต็อกแนวราบทำให้มีสินค้าพร้อมโอนเพิ่มขึ้นชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2565

รวมทั้งมีคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ 3 แห่งในไตรมาส 4 ปี 2565 ทำให้ประเมินว่าโมเมนตัมผลประกอบการครึ่งปีหลัง 2565 จะเด่นขึ้นเมื่อเทียจากช่วงครึ่งปีก่อนและไตรมาส 4 ปี 2565 เป็นไตรมาสดีที่สุดของปีนี้ โดยมี Backlog ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 8.50 พันล้านบาท Secured 37% ของคาดการณ์ยอดโอน

นอกจากนี้ได้ปรับเพิ่มราคาเหมาะสมปี 2565 เป็น 4.60 บาท แนะนำ “ซื้อ” สะท้อนการปรับประมาณการ และปรับเพิ่ม Target PE ขึ้นเป็น 8 เท่า เทียบเท่าค่าเฉลี่ย 6 ปีย้อนหลังที่ 7.30 เท่า (จากเดิม 7.50  เท่ากับค่าเฉลี่ยในอดีต) สะท้อนมุมมองบวกจากผลประกอบการปี 2565 ที่ทำสถิติสูงสุดใหม่

ขณะที่ส่วนของ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI พบว่าทาง บล.เคทีบีเอสที ระบุว่า ส่วนของกำไรปี 2565 จะทรงตัวจากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งจากฐานกำไรที่สูงในปี 2564 โดยได้ปรับกำไรสุทธิปี 2565 ขึ้น 4% เป็น 7.20 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากทางฝ่ายวิจัยมีการปรับ SG&A/Sales ลดลงจากการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น ทั้งนี้กำไรปี 2565 จะยังอยู่ในเกณฑ์ดีใกล้เคียงกับปี 2564 ที่มีฐานกำไรที่สูงได้ต่อเนื่อง เป็นผลจากในปี 2565 จะมีคอนโดใหม่เริ่มโอนที่ 7 โครงการ (มากกว่าปี 2564 ที่มี 3 โครงการ) รวมถึงรายได้จากโครงการแนวราบที่ยังเติบโตได้ดี จากแผนการเปิดโครงการแนวราบที่ค่อนข้างมาก อีกทั้งจะได้ผลบวกจากความต้องการซื้อบ้านที่จะฟื้นตัวดีขึ้น หลังสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น

รวมถึงในช่วงปลายปี 2565 จะมีการเร่งซื้อก่อนที่ ธปท.จะยกเลิกผ่อนคลาย LTV ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2564 SPALI ยังมี Backlog ที่จะโอนในปี 2564 สูงถึง 1.60 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 55% จากเป้าหมายโอนทั้งปี ทำให้ผลการดำเนินงานยังมีโอกาส Upside ได้อีก แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 28 บาท

นอกจากนี้ บริษัท ริชี่ เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ RICHY พบว่าทาง บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุว่า ได้มีการคาดการณ์กำไร 2565 เติบโตต่อเนื่องได้อีกถึง 33% แม้ว่าในประมาณการมีสมมุติฐานรายได้ต่ำกว่าเป้าบริษัทฯอยู่ 15% เป็น 2 พันล้านบาท แต่ยังโตได้ 33% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้มีแรงสนับสนุนมาจากยอดขายรอโอน (Backlog) ที่สูง ณ สิ้นปี 2564 ที่ 3.40 พันล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้ตั้งแต่ปี 2565-2567 โครงการใหญ่ที่จะโอนได้ต่อเนื่องคือ เดอะริช พระราม 9-ศรีนครินทร์และเดอะริช เพลินจิต-นานา รวมทั้งโครงการที่จะก่อสร้างเสร็จและเริ่มโอนระหว่างปี, รายได้จากโครงการแนวราบที่จะเปิดขายปีนี้ 2 โครงการ

ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยจึงได้แนะนำ “ซื้อ” เนื่องจากราคาปิดปัจจุบันยังมี Upside อีกมาก ประเมินมูลค่าหุ้นยังถูก โดยค่า P/E ปี 2565 ที่เพียง 5.20 เท่า ส่วนค่า P/BV ที่ 0.60 เท่า กำหนดราคาพื้นฐานใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 1.82 บาทต่อหุ้น จากเดิม 1.47 บาทต่อหุ้น ขณะที่การเพิ่มทุนสำเร็จจะหนุนฐานทุนแข็งแกร่ง

Back to top button