คัด 3 หุ้นเฮลท์แคร์ ลุ้นรายได้ปีนี้โต 20% อานิสงส์ “โรคระบาด-สังคมสูงอายุ”

MEGA, APCO, NV ธุรกิจนวัตกรรมยา-อาหารเสริม รับเทรนด์ “เฮลท์แคร์” ภาวะโรคระบาด-สังคมสูงอายุ ดันรายได้ปีนี้โต 20% และมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต


ข้อมูลจากศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ ระบุว่า ณ ปี 2563 โครงสร้างประชากรโลกมีอายุมากกว่า 60 ปี ถึง 1 พันล้านคน คิดเป็น 14% ของประชากรโลก ซึ่งสะท้อนการเข้าสู่สังคมสูงวัย รวมถึงภาวะโรคระบาดที่ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ทำให้ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ธุรกิจ Healthcare จึงเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่ยังคงเกาะกระแส และมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต

ทั้งนี้เมื่อสำรวจข้อมูลบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) พบว่า ปัจจุบันมี 3 บริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ผลิตยา และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ภายใต้หลักการพัฒนาและวิจัยนวัตกรรมใหม่ๆ ประกอบด้วย

1.บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยา ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและสินค้าอุปโภคบริโภค (Fast Moving Consumer Goods หรือ FMCG) ชั้นนำระดับสากล ณ ปัจจุบัน MEGA เป็นผู้จัดจำหน่ายชั้นนำในประเทศกำลังพัฒนา ได้แก่ประเทศเมียนมาร์ เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งประเทศดังกล่าวมีแนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ MEGA มีการพัฒนา ผลิต ทำการตลาด และขายผลิตภัณฑ์กลุ่มบำรุงสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ยาตามใบสั่งแพทย์และผลิตภัณฑ์ยาจำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์สุขภาพ ภายใต้เครื่องหมายการค้า Mega We CareTM ของบริษัท ผ่านเครือข่ายการจัดจำหน่ายของบริษัทและผู้จัดจำหน่ายภายนอกใน 35 ประเทศต่างๆ ทั่วโลก

โดยนายวิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MEGA คาดรายได้และกำไรปี 2565 เติบโตต่อเนื่องจากปี 2564 โดยมองว่า ความต้องการบริโภคยาและอาหารเสริมยังคงมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้ปัจจุบันประชากรในหลายประเทศได้รับวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ไปเป็นจำนวนมากแล้ว แต่มองว่าด้วยชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ทำให้ประชาชนทั่วโลกหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น และหาผลิตภัณฑ์มาบำรุงอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันวางแผนจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ประมาณ 23 รายการ โดยบริษัทยังคงมีผลิตภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในมืออีกกว่า 176 รายการ คาดว่าจะทยอยออกมาจำหน่ายอย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น

“บริษัทมองหาการลงทุนใหม่ๆ ทั้งในรูปแบบของการควบรวมกิจการ (M&A) และการร่วมทุน (JV) อยู่ตลอด ที่ผ่านมามีการศึกษามาบ้างแล้วแต่ยังคงไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน เพราะต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษา และรอดูช่วงจังหวะที่เหมาะสมในการลงทุน เบื้องต้นวางงบประมาณในส่วนนี้ไว้ที่ 345 ล้านบาท พร้อมกันนี้บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจในอินโดนีเซีย เพื่อเพิ่มรูปแบบยาและอาหารเสริม ขยายคลังสินค้า และก่อสร้างโรงงานใหม่” นายวิเวก กล่าว

2.บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APCO ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและความงาม ยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยการวิจัย พัฒนา ผลิตและจำหน่ายครบวงจร มุ่งเน้นการวิจัยพัฒนา เพื่อให้เกิดนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด จากการร่วมวิจัยพัฒนาในโครงการ Operation BIM สร้างภูมิคุ้มกันสมดุล ซึ่งเป็นมิติใหม่ของการดูแลสุขภาพ ภายใต้การร่วมลงนามสัญญาการวิจัยพัฒนากับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ APCO ภายใต้การสนับสนุนของ สวทช.

ทั้งนี้นายพิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานกรรมการบริหาร APCO ตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2565 เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% รักษาอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 80% เพื่อสามารถให้ผลตอบแทนสูงสุดแก่ผู้ถือหุ้น

สำหรับปี 2565 บริษัทเตรียมจัดตั้ง 1.KILLER T CELL CO., LTD. ใช้วัตกรรมรักษาการติดเชื้อไวรัสทุกชนิด จัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ 2.ศูนย์ Killer T Cell Therapy for HIV ร่วมกับสถาบันทางการแพทย์ในประเทศไทย 3.KILLER T CELL FOR PETS CO., LTD. ร่วมกับสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ใช้นวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดรักษาสัตว์เลี้ยง

อีกทั้งพร้อมรุกการตลาดนวัตกรรมสูตรวัฒนชีวา ที่ทำให้เกิดการย้อนวัย ชะลอวัย และอายุยืน ด้วยการแนะนำสมาชิกให้เข้าร่วมสร้างสังคมวัฒนชีวา เพื่อชีวี 100 ปีมีสุข และจัดจำหน่ายนวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัด สำหรับผู้ป่วยมะเร็งและผู้ติดเชื้อ HIV ในเชิงรุกผ่าน Social Media รวมถึงทั้งการขายผ่านศูนย์ BIM Health Center และตัวแทนจำหน่าย

ส่วนการดำเนินการธุรกิจในต่างประเทศ บริษัทยังคงติดตามและสนับสนุนพันธมิตรให้เพิ่มยอดจำหน่ายอย่างต่อเนื่องในประเทศจีน และเริ่มสนับสนุนพันธมิตรที่ได้รับใบอนุญาตในประเทศอินโดนีเซียให้สามารถเพิ่มยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สร้างภูมิคุ้มกันต่อไป

“คณะนักวิจัย APCO พัฒนานวัตกรรมเพื่อสุขภาพมาตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี โดยร่วมมือกับสถาบันวิทยาศาสตร์ชั้นนำที่มีชื่อเสียงของประเทศ อาทิ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โรงพยาบาลรามาธิบดี สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และ สถาบันวิจัยในมหาวิทยาลัยอื่นด้วย ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บริษัทมีงบสำหรับงานวิจัยอยู่ที่ปีละประมาณ 20 ล้านบาท และสามารถเพิ่มงบประมาณขึ้นได้ตามความเหมาะสม เพื่อตอกย้ำการเป็นหนึ่งในบริษัท Health Care Biotech ของไทย สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ว่า APCO เป็นบริษัทนวัตกรรมในการดูแลสุขภาพอย่างแท้จริง” นายพิเชษฐ์ กล่าว

3.บริษัท โนวา ออร์แกนิค จำกัด (มหาชน) หรือ NV ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีส่วนประกอบหลักมาจากวัตถุดิบที่หลากหลาย ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท และธุรกิจรับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (OEM) โดยบริษัทจะให้คำปรึกษาและบริการแบบครบวงจร

อย่างไรก็ดีนายนวพล จันทร์จุฑามาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NV ตั้งเป้ารายได้ปี 2565 เติบโต 15-20% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุน 250 ล้านบาท แบ่งเป็น 200 ล้านบาท ใช้ลงทุนขยายโรงงานและคลังสินค้าแห่งใหม่ บนพื้นที่ 6 ไร่ รวมทั้งปรับปรุงโรงงานเดิม เพื่อผลิตสินค้าประเภทสมุนไพรและโรงงานสกัด รองรับการจัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ และที่เหลือใช้ก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ รองรับการเพิ่มทีมขายทางโทรศัพท์ (Telesales) เพิ่มเติม (คาดสร้างเสร็จในปี 2565) หวังเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ได้มีการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ใหม่ 3 ราย ได้แก่ บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, บริษัท ออร่า เชพ จำกัด เพื่อรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) ประเภทอาหารเสริมและสมุนไพรให้กับพาร์ตเนอร์ในส่วนดังกล่าว

“NV จะทำหน้าที่เป็นผู้คิดค้นสูตรและผลิตสินค้าใหม่ภายใต้แบรนด์ของพันธมิตรเอง คาดน่าจะสามารถเปิดตัวในเร็วๆ นี้ ตลอดจนอยู่ระหว่างเจรจากับพาร์ตเนอร์ใหม่อีกหลายราย เพื่อรับงาน OEM เพิ่มเติม ซึ่งหากทุกอย่างเป็นไปตามที่วางไว้คาดจะได้เห็นสัดส่วนรายได้จาก OEM ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแตะราว 5% ของรายได้รวมทั้งในสิ้นปีนี้” นายนวพล กล่าว

Back to top button