DUSIT ปรับโฉม “ดุสิตธานี หัวหิน” เปิดห้องอาหารริมทะเล “Nómada” รับนักท่องเที่ยว 1 พ.ค.นี้

DUSIT ปรับโฉม “ดุสิตธานี หัวหิน” สร้างประสบการณ์ใหม่ครบ 3 ด้าน ทั้งอาหาร ที่พัก และกิจกรรม เปิดห้องอาหารริมทะเล “Nómada” เตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยว 1 พ.ค.นี้


นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เปิดเผยว่า กลุ่มดุสิตธานีมีความยินดีและมีความพร้อมสำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามายังประเทศไทย หลังจากการเปิดประเทศเต็มรูปแบบในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ ซึ่งในช่วงที่การเดินทางยังไม่สามารถทำได้อย่างสะดวกจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กลุ่มดุสิตธานีได้ใช้ช่วงเวลาดังกล่าวปรับปรุงโรงแรมในกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน ที่เป็นโรงแรมที่เปิดให้บริการมายาวนานที่สุด เนื่องจากเชื่อมั่นว่า ชายหาดหัวหินจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวนึกถึงเป็นลำดับแรกๆ หลังจากเดินทางได้มากขึ้น

โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ขณะที่ทำเลที่ตั้งติดชายหาดที่สวยงาม และชุมชนที่นี่ก็มีความเข้มแข็ง ทำให้ “หัวหิน” เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สมบูรณ์แบบและเป็นที่นิยมมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ที่ผ่านมา เราใช้เวลากว่า 18 เดือนในการปรับปรุงโรงแรมที่เรียกว่าเป็นโฉมใหม่จริงๆ ทั้งในส่วนของห้องพัก และพื้นที่โดยรอบ เช่น สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ รวมถึงเทวารัณย์สปาที่สงบ เพิ่มความเป็นส่วนตัว และการเปิดฟาร์มออร์แกนิค

ส่วนไฮไลท์สำคัญที่พลาดไม่ได้สำหรับโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน คือ การเปลี่ยนแปลงร้านอาหารริมทะเลบาร์แอนด์กริลล์ เป็นห้องอาหาร “Nómada” (โนมาดา) ซึ่งเป็นห้องอาหารที่เปิดโล่งรับลมทะเล และเน้นเสิร์ฟรสชาติ ความสดใหม่จากทะเล พร้อมนำเสนอเทคนิคการปิ้ง ย่าง เผาโดยเชฟชื่อดังจากแถบอเมริกาใต้ ซึ่งเรามั่นใจว่า ลูกค้าจะได้สัมผัสกับวัฒนธรรมของอาหารที่หลากหลายขึ้น ในขณะเดียวกัน เรายังให้ความสำคัญกับนวัตกรรมของอาหาร รวมถึงการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบ ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันอีกด้วย” นางศุภจี กล่าว

ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน จะสร้างผลลัพธ์ที่เห็นอย่างชัดเจน 3 ด้าน ได้แก่ 1.ห้องพักในโรงแรมและพื้นที่ใช้งาน 2.อาหารและเครื่องดื่ม และ 3. กิจกรรมต่างๆ ที่มีความหลากหลาย ซึ่งทั้งหมดจะตอบโจทย์ที่จะทำอย่างไรให้ลูกค้าทุกเจนเนอเรชั่นที่เข้ามาใช้บริการของโรงแรมสามารถสร้างประสบการณ์ร่วมกันได้มีความเชื่อมต่อกัน โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสอดคล้องการปรับวิถีการให้บริการอันเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มดุสิตธานี หรือ Dusit Graciousness ที่ให้ความสำคัญกับ 4 แกนหลัก คือ บริการที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า (Service)  บริการที่ตอบสนองการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาวะที่ดีทั้งกายและใจ (Well-being)   บริการที่เข้าถึงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชุมชนและคนรอบข้าง (Locality) และบริการที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึงสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม (Sustainability)

ที่ผ่านมาเราเรียนรู้ว่า ความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าในแต่ละเจนเนอเรชั่นแตกต่างกัน แต่เมื่อต้องเดินทางท่องเที่ยวด้วยกัน หรือต้องแชร์ประสบการณ์ในการเดินทางด้วยกัน จะทำอย่างไรให้ทั้ง ที่พัก อาหาร รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน แต่สามารถเชื่อมต่อทุกเจนเนอเรชั่นให้ถึงกันได้ ซึ่ง ณ วันนี้ โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน กำลังทำให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น ภายใต้ความมุ่งมั่นว่า เราจะสร้างประสบการณ์ที่ยั่งยืนและความทรงจำที่ดีให้กับลูกค้าทุกคนที่เข้ามาใช้บริการ” นางศุภจี กล่าว

สำหรับกิจกรรมที่โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน จัดขึ้นและประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ งาน Feast by the Beach ซึ่งในช่วงการจัดงานตลอด 3 วัน สามารถดึงดูดแขกได้มากกว่า 400 คน ด้วยการผสมผสานที่ลงตัวของดีเจ กิจกรรมเพื่อสุขภาพ กีฬาทางน้ำ การแสดงดนตรีสด ตลอดจนเครื่องดื่มและอาหารที่ปรุงโดยเชฟที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของประเทศไทย ทำให้ขณะนี้กลุ่มดุสิตธานีมีแผนที่จะจัดกิจกรรมในรูปแบบนี้ไปตลอดทั้งปี

ขณะที่ห้องอาหาร Nómada (เป็นคำในภาษาสเปน หมายถึงนักเดินทางที่ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ และปรุงอาหารด้วยวัตถุดิบในแต่ละท้องถิ่น) จะนำเสนอประสบการณ์การรับประทานอาหารริมชายหาดที่มีเอกลักษณ์ ผ่านรสชาติที่โดดเด่น โดยเชฟ Andre Josef Nweh Severino เชฟชาวชิลี ซึ่งจะคัดสรรผลิตผลที่ดีที่สุดจากท้องถิ่น เพื่อนำเสนออาหารที่ปรุงด้วยเทคนิคสไตล์อเมริกาใต้ที่เน้นความสดใหม่ของวัตถุดิบ เช่น เซวิเช่ และการใช้ไฟแบบดั้งเดิมในการเผา ปิ้ง ย่างวัตถุดิบ ทั้งเนื้อสัตว์ อาหารทะเล และผักผลไม้ชนิดต่างๆ รวมถึงบริการเครื่องดื่มค็อกเทลและม็อกเทลสมุนไพรจากฟาร์มออร์แกนิกของโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อีกด้วย

Back to top button