เปิด 40 รายชื่อหุ้น SET ผลงาน Q1 “เทิร์นอะราวด์” ลุ้นปีนี้โตแรง!

เปิด 40 รายชื่อหุ้น SET ผลงาน Q1/65 “เทิร์นอะราวด์” นำโดย AWC-THG-PRINC-M-CHAI-ACC-JAS ลุ้นปีนี้โตแรง!


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการรวบรวมข้อมูลหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ SET ที่ประกาศงบไตรมาส 1/2565 มานำเสนอ โดยครั้งนี้คัดเลือกหุ้นมีพลิกมีกำไร (เทิร์นอะราวด์) และลุ้นผลงานปี 2565 เติบโตโดดเด่น

โดยครั้งนี้มีหุ้นทั้งหมด 40 ตัว ได้แก่  AWC, THG, PRINC, M-CHAI, ACC, JAS, MACO, NOVA, KWI, CGD, AQ, WPH, CPH, LHK, LRH, TTI, PT, WACOAL, TCC, TTT, MAJOR, TGPRO, TRITN, TCMC, GLOCON, WGE, AJA, VGI, L&E, KC, CPT, ASAP, BLISS, MPIC, BIG, SLP, TCJ, NC และ AFC โดยเรียงอันดับกำไรมากสุดไปหาน้อยสุด ซึ่งจะนำเสนอข้อมูลประกอบเพียง 5 อันดับ ดังตารางประกอบดังนี้

อันดับ 1 บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2565 มีกำไรสุทธิ 645.11 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 594.01 ล้านบาท

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2565 มีรายได้รวมตามงบการเงิน 2,782 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 151% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นกำไรสุทธิตามงบการเงิน 645 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 200 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสที่ 1/2565 ของบริษัทมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากช่วงปลายปี 2564 ที่ผ่านมา แม้ว่าจะยังคงมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนระดับที่สูงในช่วงต้นปี แต่ได้รับผลกระทบน้อยกว่าการแพร่ระบาดครั้งก่อนหน้านี้ เนื่องจากสายพันธุ์ดังกล่าวมีอาการที่น้อยกว่าและประชาชนได้รับวัคซีนในอัตราที่สูง จึงทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น

ทั้งนี้ ประกอบกับผลดีจากนโยบายการเปิดประเทศและการผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศที่มีแนวโน้มพัฒนาไปในทิศทางที่ดียิ่งขึ้นนับตั้งแต่เกิดการระบาด ส่งผลให้ทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทมีการฟื้นตัวและเติบโตขึ้นอย่างมาก แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับกลยุทธ์การดำเนินงานตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที และสร้างความเชื่อมั่นว่าบริษัทจะสามารถฟื้นตัวอย่างรวดเร็วภายในปีนี้และก้าวกระโดดต่อไปในอนาคต

“สำหรับผลประกอบการไตรมาสที่ 1/2565 ถือเป็นไตรมาสแรกของปีที่มีผลประกอบการที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มต้นการแพร่ระบาดของ COVID-19 ชี้ให้เห็นสัญญาณบวกของเศรษฐกิจในภาพรวมที่กลับมาฟื้นตัว ซึ่งทาง AWC มั่นใจว่ากลุ่มธุรกิจต่างๆ ในเครือจะสามารถกลับมาแข่งขันและดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดทั้งปี 2565 นี้” นางวัลลภา กล่าว

อันดับ 2 บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2565 มีกำไรสุทธิ 526.80 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 214.95 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีรายได้รวม 3,530 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่อยู่ที่ 1,566 ล้านบาท เป็นผลมาจากธุรกิจให้บริการทางการแพทย์ มีรายได้เพิ่มขึ้น อยู่ที่ 3,444 ล้านบาท จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ ส่งผลให้มีผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง

รวมทั้งบริษัทฯ มีการให้บริการฉีดวัคซีน ภาครัฐและวัคซีนทางเลือกโดยสัดส่วนการให้บริการผู้ป่วยโควิดใน Hospitel และโรงพยาบาลสนามและการให้บริการฉีดวัคซีน มีสัดส่วนรายได้คิดเป็นร้อยละ 27.40 ของรายได้ทั้งหมด

ด้านนายแพทย์ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการช่วงไตรมาส 2/2565 คาดว่าคนไข้ที่เข้ามารักษาอาการโควิด-19 ยังคงมีอยู่ ส่วนคนไข้อาการตามปกติจะกลับมารักษาในโรงพยาบาลเหมือนเดิม หลังจากคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

อันดับ 3 บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2565 มีกำไรสุทธิ 420.87 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 161.57 ล้านบาท

นายธานี มณีนุตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ PRINC ผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงพยาบาลเอกชนและธุรกิจสุขภาพในนาม ‘เครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์’ เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทฯในงวดไตรมาสแรกของปี 2565 นี้ว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวม 2,085.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 1,362.2 ล้านบาท,เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยปัจจัยหลักมาจากการร่วมมือกับภาครัฐดูแลรักษาผู้ป่วยในสถานการณ์โควิด-19 และยังส่งผลให้จำนวนผู้มาใช้บริการทางการแพทย์ประเภท Non Covid-19 พุ่งสูงขึ้นด้วย และปัจจัยหนุนนักท่องเที่ยวต่างชาติและไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจบริการสุขภาพเติบโตสูงมาก

ขณะเดียวกันในปี 2565 นี้ จะรับผลดีเต็มปีจากการรับรู้รายได้การเปิดดำเนินงานโรงพยาบาลอีก 2 แห่งในปีที่ผ่านมา คือ โรงพยาบาลพริ้นซ์ ศรีสะเกษ, โรงพยาบาลพริ้นซ์ ลำพูน โดยเฉพาะโรงพยาบาลพริ้นซ์ ศรีสะเกษ ที่เปิดดำเนินงานเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 มีรายได้ในไตรมาสนี้ถึง 56.1 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการตรวจและรักษาโควิค -19 ส่วนการขยายโรงพยาบาลยังคงมุ่งเน้นตามแผนรวม 20 แห่งในปี 2567 จากปัจจุบัน 13 แห่ง เปิดดำเนินงานแล้ว 12 แห่งใน 10 จังหวัด รวม 1,124 เตียง

ล่าสุดโรงพยาบาลพริ้นซ์ สกลนคร ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดดำเนินการเปิดให้บริการได้ในปี 2566 และมีแผนเข้าไปบริหารจัดการหรือก่อสร้างใหม่อีกอย่างน้อย 2 แห่ง ทั้งในพื้นที่ภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในการขยายการให้บริการของเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์

ส่วนแผนการขยายบริการทางการแพทย์เฉพาะทางและธุรกิจสุขภาพอื่นๆ บริษัทฯได้เปิดศูนย์บริการทางการแพทย์ ให้บริการเฉพาะทางในโรคต่าง ๆ อาทิ การร่วมมือกับโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ผ่านบำรุงราษฎร์ เฮลท์เน็ตเวิร์ค ร่วมเปิดศูนย์มะเร็งพิษณุเวชฮอไรซัน โรงพยาบาลพิษณุเวช และยังมีแผนขยายศูนย์การแพทย์เฉพาะทางภายใต้ความร่วมมือดังกล่าวไปยังโรงพยาบาลในเครือฯอื่นๆเพิ่มเติมในปีนี้ 1-2 แห่งอีกด้วย

ขณะเดียวกันยังคงร่วมมือกับ NK Group ประเทศญี่ปุ่น ขยายการให้บริการศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยและผู้สูงอายุ PRINC Recovery Center and Elder Care เตรียมขยายไปโรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ เป็นแห่งถัดไป หลังจากประสบความสำเร็จที่โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ซึ่งศูนย์เหล่านี้ได้รับการตอบรับดีอย่างมาก และมีส่วนกระตุ้นการเข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น

พร้อมกันนี้ ยังเร่งขยายคลินิกปฐมภูมิ คลินิกใกล้บ้านใกล้ใจ ตั้งเป้า 40 สาขาในปี 2566 จากปัจจุบันเปิดดำเนินการแล้วทั้งหมด 17 สาขา เป็นกลไกสำคัญในการสร้างการเข้าถึงบริการสาธารณสุขในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลโดยเฉพาะร่วมดูแลผู้ป่วยโควิด Home Isolation กับภาครัฐในช่วงสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามจากผลประกอบการงวดไตรมาสแรกจะเติบโตอย่างโดดเด่น แต่บริษัทฯ ยังคงกำหนดเป้าหมายการเติบโตแบบอนุรักษ์นิยม คาดหมายรายได้ในปีนี้จะเติบโตระดับ 20-25% จากปี 2564 ที่มีรายได้รวม 5,059 ล้านบาท เนื่องจากประเมินสถานการณ์โควิด-19 น่าจะเริ่มคลี่คลายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และด้วยสภาพเศรษฐกิจอาจชะลอตัวจากปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูง อาจกระทบต่อการบริโภคของประชาชน

อันดับ 4 บริษัท โรงพยาบาลมหาชัย จำกัด (มหาชน) หรือ M-CHAI รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2565 มีกำไรสุทธิ169.96 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ61.71 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น 858.60 ล้านบาท คิดเป็น 134.42 % โดยปัจจัยหลักเป็นผลจากการขยายงานของโรงพยาบาลแห่งใหม่และการแพร่ระบาดของ ไวรัส โควิด-19 ส่งผลทำให้ผู้รับบริการทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อันดับ 5 บริษัท แอดวานซ์ คอนเนคชั่น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ACC รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2565 มีกำไรสุทธิ136.28 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 4.99 ล้านบาท

นางสุพิน ศิริโภค รองประธานกรรมการ ACC เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1/2565  พลิกมีกำไรเป็นผลมาจากการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท ซี.อี.ไอ.(เชียงใหม่) จำกัด และบริษัท เอซีซี กรีนเอนเนอร์จี จำกัด ในราคา 556.66 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์สุทธิ ณ วันขายเงินลงทุนของทั้งสองบริษัทย่อยจำนวน 395.48 ล้านบาท ส่งให้บริษัท มีกำไรสุทธิจากการขายเงินลงทุนจำนวน 161.18 ล้านบาท โดยในไตรมาส 1 บริษัทฯมีรายได้รวม 27.62 ล้านบาท

“ในปีนี้ ACC ตั้งเป้าสร้างผลประกอบการที่ดี โดยคาดว่ารายได้จะเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ จากการดำเนินงานของบริษัทในเครือ ACC ได้แก่ 1. บริษัท เอซีซี อินฟรา จำกัด  ดำเนินธุรกิจด้านพลังงาน และรับเหมาสาธารณูปโภค 2. บริษัท เอซีซี แคนนาบิส จำกัด เป็นธุรกิจด้านกัญชงแบบครบวงจร   3.บริษัท เอซีซี แคปปิตอล จำกัด ล่าสุด ACC รุกธุรกิจงานรับเหมางานอินฟราสตรักเจอร์เต็มตัว รองรับอุตสาหกรรม ไฟฟ้า เทเลคอม ICT และพลังงานขยายตัวต่อเนื่อง และ จะเป็นธุรกิจหลักที่จะสร้างผลประกอบการที่เติบโตอย่างมั่นคงให้กับ ACC” นางสุพินกล่าวเสริม

ดร. พลาคม ชัยกิตติศิลป์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอซีซี อินฟรา จำกัด บริษัทย่อยในกลุ่ม บริษัท แอดวานซ์ คอนเนคชั่น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “ACC” ซึ่งอยู่ในหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค กล่าวว่า กลุ่มบริษัทฯ เตรียมขยายงานรับเหมา อินฟราสตรัคเจอร์แบบครบวงจร โดย เน้นการให้บริการรับเหมาโครงการสาธารณูปโภค ทั้งงานโยธา เทเลคอม ICT ไฟฟ้า พลังงาน และงานก่อสร้างแบบครบวงจร เนื่องจากบริษัทฯมีความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม และการบริหารโครงการรับเหมา

อีกทั้งมีผู้บริหารและ ทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์สูง และ มีผลงานจำนวนมากที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับเจ้าของโครงการ  ซึ่งสามารถรองรับการลงทุนทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน ด้านอินฟราสตรัคเจอร์หรือสาธารณูปโภคจำนวนมาก เพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม รวมถึงรองรับการเข้าสู่เศรษฐกิจยุคดิจิตอล ที่ต้องการความรวดเร็วในการสื่อสาร

โดยล่าสุด บริษัทฯได้เซ็นสัญญารับงานจ้างเหมาวางท่อร้อยสายและบ่อพักสำหรับสายใยแก้วนำแสงใต้ดิน (Underground Fiber Optic) ระยะทาง 130 กิโลเมตร ระหว่างจังหวัดสตูล ถึง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มูลค่าโครงการ 91 ล้านาท กับ บริษัท วิน เทเลคอม จำกัด ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินงานในเดือนพฤษภาคมนี้ และจะเสร็จสมบูรณ์ในไตรมาส 4 ปีนี้

ทั้งนี้ บริษัทฯอยู่ระหว่างเสนองานรับเหมาโครงการจำนวนหลายโครงการ อาทิ งานติดตั้งระบบโซลารูฟท็อป งานรับเหมาโยธา งานวางท่อ งานรับเหมาเทเลคอม โดยมูลค่าโครงการรวมกว่า 800 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยทราบผล ภายในไตรมาส 2-3 นี้ ซึ่งบริษัทฯคาดว่ามีโอกาสจะได้รับงานเพิ่มกว่า 400-500 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้และรับรู้รายได้บางส่วนในปี 2566 ซึ่งรายได้ด้านงานรับเหมาต่างๆ จะช่วยทำให้รายได้หลักของบริษัทฯ ซึ่งมาจากการขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 5 เมกะวัตต์ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เติบโตอย่างต่อเนื่องและจะช่วยให้ ACC สามารถเทิร์นอะราวนด์ กลับมามีผลประกอบการที่ดีและมั่นคง”

นอกจากนี้กลุ่ม ACC ยังได้ต่อยอดดำเนินธุรกิจกัญชงเชิงอุตสาหกรรม โดยวางแผนที่จะดำเนินธุรกิจกัญชงแบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ เนื่องจากกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอนาคตไกล และ มีมูลค่าในตลาดโลกที่ใหญ่มากและตลาดมีอัตราการเติบโตสูง

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button