BAY คาด “กนง.” คงดบ. ถึงสิ้นปี ชี้ศก.ไทยยังอ่อนแอ

BAY คาดการณ์ “กนง.” ยังคงดอกเบี้ยถึงสิ้นปี 65 แม้เงินเฟ้อยืนเหนือกรอบเป้าหมาย โดยไทยรองรับความเสี่ยงต่อผลกระทบจากภายนอก และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเติบโตช้า


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) คงคาดการณ์ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ เนื่องจาก 1.แม้อัตราเงินเฟ้อในปีนี้จะอยู่เหนือกรอบเป้าหมาย แต่การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อไม่ได้กระจายเป็นวงกว้าง โดยมีสัญญาณเล็กน้อยของแรงกดดันด้านราคาที่เพิ่มขึ้นในภาคบริการ เนื่องจากอุปสงค์ยังคงอ่อนแอ ท่ามกลางตลาดแรงงานที่ซบเซา

2.ไทยรองรับความเสี่ยงต่อผลกระทบจากภายนอกได้ดีกว่าบางประเทศ สะท้อนจากเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในอันดับที่เข้มแข็ง รองจากไต้หวัน และเกาหลี ซึ่งช่วยลดความกังวลเงินทุนไหลออก

3.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเติบโตช้า และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในปีนี้จะยังอยู่ในระดับต่ำกว่าก่อนเกิดการระบาด โดย GDP ไตรมาสแรกของไทยเติบโตเพียง 2.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอ่อนแอกว่าเศรษฐกิจส่วนใหญ่ในภูมิภาค

นอกจากนี้จากข้อมูลคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) พบว่าระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยตลอดทั้งปี 2565 จะยังคงต่ำกว่าระดับก่อนเกิดการระบาด 1.5% ในขณะที่ประเทศอื่นๆ กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาสูงกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดแล้วราว 1.6-13.4%

ดังนั้น แม้จะมีแรงกดดันต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังอ่อนแอเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน จึงอาจมีผลต่อการปรับนโยบายของ กนง. นอกจากนี้สำหรับไทยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ไม่น่าจะช่วยบรรเทาเงินเฟ้อด้านอุปทาน และอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง

“ไทยอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอกน้อยกว่าเพื่อนบ้าน อาจหนุนให้ กนง.คงดอกเบี้ยในปีนี้ เพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังฟื้นช้า ล่าสุดผู้ว่าธปท.ชี้ว่ากนง. ยังไม่มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตามเฟด ซึ่งมีแนวโน้มเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม ส่วนต่างของดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น อาจกระทบต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายและตลาดเงินผันผวน” บทวิเคราะห์ระบุ

ด้านวิจัยกรุงศรี เห็นว่า การขยายมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล จะช่วยลดทอนผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และพยุงความเชื่อมั่นของภาคอุตสากรรมที่อ่อนแอ นอกจากนี้ จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกผันผวน และปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างแรงกดดันต่อราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล ซึ่งถือเป็นต้นทุนการผลิตของทุกภาคอุตสาหกรรม ย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อภาคธุรกิจและประชาชน

ล่าสุด รัฐบาลอนุมัติขยายมาตรการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเป็น 5 บาท/ลิตร (จากเดิมลด 3 บาท/ลิตร สิ้นสุดวันที่ 20 พ.ค. 2565) มีผลตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. 2565 ถึง 20 ก.ค. 2565 เพื่อจะช่วยลดระดับราคาขายปลีกของน้ำมันดีเซลไม่ให้สูงจนกระทบต่อภาระค่าครองชีพและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ จากผลการประเมินของวิจัยกรุงศรี พบว่า หากกรณีมีการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลขึ้น 2 บาท/ลิตร จะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อรวมสะสมใน 5 ไตรมาสเพิ่มขึ้น 0.49% จากกรณีฐาน และจะกระทบต่อ GDP ในอีก 3 ไตรมาสถัดไปลดลง 0.17% จากกรณีฐาน และหากมีการปรับราคาน้ำมันดีเซลขึ้น 5 บาท จะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อรวมสะสมใน 5 ไตรมาสเพิ่มขึ้น 1.23% จากกรณีฐาน และกระทบต่อ GDP ในอีก 3 ไตรมาสถัดไปลดลง 0.43% จากกรณีฐาน

Back to top button