“ดาวโจนส์” พุ่งกว่า 300 จุด ขานรับผลประกอบการ-รายงานประชุมเฟด

“ดาวโจนส์” พุ่งกว่า 300 จุด ขานรับผลประกอบการ-รายงานประชุมเฟด โดย ณ เวลา 20.41 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 32,455.53 จุด บวก 335.25 จุด หรือ 1.04%


ผู้สื่อข่าวรายง่านว่า ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 300 จุด ในวันนี้(26 พ.ค.65) ขณะที่นักลงทุนขานรับการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด โดย ณ เวลา 20.41 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 32,455.53 จุด บวก 335.25 จุด หรือ 1.04%

ด้านราคาหุ้นเมซีส์ อิงค์ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 15% ในวันนี้ หลังรายงานตัวเลขกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาสแรก

ขณะที่ราคาหุ้นทวิตเตอร์ อิงค์พุ่งขึ้น 4.25% ขานรับนายอีลอน มัสก์ ซึ่งแสดงความมุ่งมั่นที่จะซื้อกิจการทวิตเตอร์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ นายมัสก์ได้ประกาศพักการเจรจาข้อตกลงซื้อทวิตเตอร์ชั่วคราว โดยอ้างว่าต้องการตรวจสอบจำนวนบัญชีปลอมบนทวิตเตอร์

ด้านเฟดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนพ.ค.เมื่อวานนี้ โดยสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด

ทั้งนี้ รายงานเฟดระบุว่า เฟดจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย 0.50% ทั้งในเดือนมิ.ย.และก.ค. และอาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปี หากอัตราเงินเฟ้อปรับตัวลง

ขณะเดียวกัน เฟดแสดงความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับมือการใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินเพื่อสกัดเงินเฟ้อโดยไม่ทำให้เศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังได้ปัจจัยบวกจากการเปิดเผยตัวเลขคนว่างงานที่ต่ำกว่าคาด

ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 8,000 ราย สู่ระดับ 210,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 215,000 ราย

โดยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานดังกล่าวอยู่ต่ำกว่าระดับ 215,000 ราย ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ

ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 35,000 ราย สู่ระดับ 1.35 ล้านราย แต่ใกล้เคียงระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2512

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/65 โดยระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐหดตัว -1.5% จากเดิมที่รายงานว่าหดตัว -1.4% ในตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐหดตัวเพียง -1.3%

ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวในไตรมาส 1/65 ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เศรษฐกิจเผชิญภาวะถดถอยโดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงต้นปี 2563

เมื่อพิจารณาในปี 2564 เศรษฐกิจสหรัฐเติบโต 6.3% ในไตรมาส 1 และ 6.7% ในไตรมาส 2 ก่อนที่จะชะลอตัวสู่ 2.3% ในไตรมาส 3 เนื่องจากการขาดแคลนวัตถุดิบในภาคการผลิต ซึ่งกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่เศรษฐกิจสหรัฐกลับมามีการขยายตัว 6.9% ในไตรมาส 4

เมื่อพิจารณาทั้งปี 2564 เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 5.7% ซึ่งเป็นตัวเลขสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2527 หลังจากที่หดตัว -3.4% ในปี 2563 ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2489 โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

Back to top button