FSSIA คงเป้าดัชนีปีนี้ 1,854 จุด ชู 7 หุ้นเด่น พื้นฐานแกร่ง-กำไรโต

FSSIA คงเป้าดัชนีปีนี้ 1,854 จุด ชู 4 กลุ่ม 7 หุ้นเด่น ได้แก่ BANPU, ESSO, GUNKUL, KTB, KKP, BCH และ BDMS พื้นฐานแกร่ง-กำไรโต


นายทรงกลด วงศ์ไชย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และนายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ระบุในบทวิเคราะห์ถึงกลยุทธ์ตลาดหุ้นไทย โดยมองว่า การปรับนโยบายการเงินในช่วงเวลาที่เหมาะสมของธปท.จะช่วยจำกัดผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นไทยได้ อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบยังเป็นตัวกำหนดทิศทางเงินเฟ้อ ซึ่งยากที่จะควบคุมได้

โดย FSSIA ระบุว่า เงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น 7.10% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ในเดือนพ.ค. สูงสุดรอบ 13 ปีนั้นมาจากราคาพลังงาน และอาหารที่สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นเหตุให้ธปท.ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 0.25% ในปีนี้ และเร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้ก่อนหน้านี้ ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่าธปท.อาจเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อใช้กดเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดยมองว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นในการประชุมครั้งหน้าเดือนสิงหาคม จากสามปัจจัยหลักคือ (1) เพื่อกดเงินเฟ้อ (2) GDP ที่คาดว่าจะดีขึ้นจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และ (3) ดุลบัญชีเดินสะพัดที่อยู่ในระดับดี

ทั้งนี้ FSSIA มองว่าการขึ้นดอกเบี้ย 25bp จะมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับกลาง แต่จะช่วยทำให้เงินเฟ้อลดลงได้อย่างทันท่วงที โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจและการเงินของไทยจะมีความต้านทานที่เพียงพอต่อการขึ้นดอกเบี้ย ผลักดันโดยรายได้ และเงินทุนต่างชาติจากการท่องเที่ยว และส่งออกที่ฟื้นตัว ซึ่งคาดว่าจะเพียงต่อต่อการหักล้างกับความเสี่ยงต่อพลังงานใช้ประโยชน์สุทธิ (Net Energy) 20%

นอกจากนั้นแล้วงบดุลของไทยยังคงอยู่ในระดับที่ดี จากการที่มีเงินทุนสำรองต่างชาติสูง และอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (Debt-to-GDP) ที่ต่ำ ผนวกกับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่มีเงินทุน ตั้งสำรอง และสภาพคล่องในระบบการเงินที่สูง

อย่างไรก็ดี FSSIA คงเป้าหมาย SET Index ปีนี้ที่ 1,854 จุด บนพื้นฐานค่า P/E ปี 2565 ที่ 17.33 เท่า และ EPS อยู่ที่ 107 บาทต่อหุ้น โดยมองกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น การกลับมาทางเศรษฐกิจ และงบดุลที่แข็งแกร่ง ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว สุขภาพ ธนาคาร และพลังงาน นอกจากนั้นได้คัดหุ้นเด่น 7 หุ้นไว้ในบทวิเคราะห์ ได้แก่

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU โดยระบุว่า มีการเติบโตของกำไรที่ชัดเจน และแข็งแกร่งจากราคาถ่านหิน และน้ำมันที่สูงขึ้น นอกจากนั้นแล้ว การประกันความเสี่ยงที่ต่ำลงจะช่วยให้ BANPU จับเทรนด์ขาขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นจากอัตราการเติบโตของกำไรเพิ่มเติมจากการทำ M&A แนะนำราคาเป้าหมาย 18.80 บาท

บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ระบุว่า มีสามปัจจัยหลักที่ทำให้มีความโดดเด่นในกลุ่มโรงกลั่นในไทย (1) คาดว่าจะเห็นการเพิ่มขึ้นของอัตราการใช้งานของ ESSO เพิ่มขึ้น 15 จุด จากความสามารถการส่งออกน้ำมัน และอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นสำหรับสถานีน้ำมันขั้นปลาย จากการขยายธุรกิจสถานีน้ำมันของบริษัท (2) ESSO น่าจะได้รับประโยชน์จากค่าการกลั่นที่สูง ไม่มีการขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยง และการขาดทุนจากธุรกิจอโรมาติกส์ ซึ่งหยุดการดำเนินงานชั่วคราวตั้งแต่มิ.ย. 2564 และ (3) การเติบโตของกำไรจากสถานีน้ำมันเพิ่มความแข็งแกร่งต่อกำไรในปี 2565 แนะนำราคาเป้าหมาย 12.90 บาท

บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL ระบุว่า จะมีการเติบโตของกำไรใหม่ในปี 2565 เป็นต้นไป ผลักดันโดยห่วงโซ่มูลค่าธุรกิจกัญชา-กัญชง ซึ่งรวมถึงการปลูก สกัด การขาย และการตลาด ตั้งแต่ใบ ช่อดอก และน้ำมันเมล็ด รวมถึงมูลค่าเพิ่มจากการนำไปทำเป็นผลิตภัณฑ์เช่นอาหาร เครื่องดื่ม ยา อาหารสุขภาพ ขนม และลูกอม แนะนำราคาเป้าหมาย 8.10 บาท

ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ระบุว่า จะเป็นหุ้นปลอดภัยในการลงทุนท่ามกลางความผันผวนของตลาด และจะได้รับผลบวกจากการสร้างรายได้จากแอพ เป๋าตัง นอกจากนั้นมูลค่าของหุ้นยังมีความน่าดึงดูด อยู่ที่ค่า P/BV ปี 2565 ที่ 0.60 เท่า เทียบกับ 7.2% ROE และ กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น 25% ในปีนี้ แนะนำราคาเป้าหมาย 16.40 บาท

ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP ระบุว่า มีสองปัจจัยหลักที่สร้างความแตกต่างจากธนาคารอื่น คือ (1) การเดินหน้าของธุรกิจสินเชื่อแบบเฉพาะกลุ่มในขณะที่คู่แข่งอื่นๆหลีกเลี่ยง ทำให้ได้ส่วนแบ่งตลาดที่มากขึ้น และ (2) ความแข็งแกร่งของ KKP ในกลุ่มธุรกิจโบรกเกอร์สถาบัน รวมถึง วาณิชธนกิจ และที่ปรึกษาทางการเงิน จะช่วยให้มีการดำเนินงานที่ยั่งยืนได้ แนะนำราคาเป้าหมาย 86 บาท

บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH ระบุว่า หุ้น BCH ซื้อขายอยู่บน P/E ปี 2565 เพียง 10 เท่า ซึ่งต่ำกว่าคู่แข่งที่เฉลี่ยอยู่ที่ 29 เท่าและมูลค่าของ BCH เองที่เฉลี่ย 5 ปี อยู่ที่ 32 เท่า นอกจากนั้นแล้วราคาหุ้นตั้งแต่ช่วงเริ่มมีโควิดเป็นต้นมายังอ่อนแอกว่าในกลุ่มด้วยเช่นกัน (+10% สำหรับ BCH ต่อ +52% คู่แข่ง) ทำให้ FSSIA มองว่าราคาหุ้น และมูลค่าของ BCH นั้นอยู่ในระดับที่ไม่เหมาะสม และควรที่จะซื้อขายที่มูลค่าสูงกว่าจากการดำเนินงานแบบออแกนิคที่แข็งแกร่ง และความสามารถในการปรับการดำเนินงานเพื่อสอดรับกับช่วงโควิด โดยเชื่อว่าตลาดจะหันกลับมามองการดำเนินงานแบบออแกนิคของ BCH หลังโควิดคลายลงแล้ว แนะนำราคาเป้าหมาย 28.50 บาท

บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ระบุว่า มีการเติบโตรายได้ที่แข็งแกร่ง และคาดจะมีอัตราการผลิตที่สูงในระดับ 70% ในปี 2565 (67% ในปี 2562) ด้าน EBITDA margin คาดอยู่ที่ 24% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 23% ในปี 2564 และ 22% ในปี 2562 โดยรวมแล้ว FSSIA คาดว่ากำไรหลักของ BDMS ในปีนี้จะกลับสู่ระดับช่วงก่อนโควิดที่ 1.01 หมื่นล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 31% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัพไซด์จากสถานการณ์โควิดที่ยืดเยื้อ และ EBIDTA margin ที่สูงกว่าคาด แนะนำราคาเป้าหมาย 31 บาท

Back to top button