โบรกคัด 10 หุ้นหลบภัย “เงินเฟ้อ” พุ่ง-เศรษฐกิจชะลอตัว

ดักเก็บ 10 หุ้น BDMS-CPALL-GPSC-RATCH-WHAUP-ADVANC- JMT-CPF-OR-BBL หลบภัย วิกฤต “เงินเฟ้อ” พุ่ง-เศรษฐกิจชะลอตัว คาดดัชนี SET เดือนก.ค.65 แนวรับแรกที่บริเวณดัชนี 1,500-1,530 จุด


นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์  บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึง ทิศทางการลงทุนเดือนก.ค.65 ว่า คาด SET Index ในเดือนกรกฎาคมซึ่งอยู่ในช่วงแรกของไตรมาสที่ 3 จะอยู่ในโหมดแกว่งตัวซึมๆ ต่อไป จากรายงานตัวเลขเงินเฟ้อที่น่าจะยังออกมาเติบโตสูงในระยะสั้น ส่งผลให้ธนาคารกลางต่างๆ ยังคงจำเป็นต้องใช้ความ Aggressive ในการดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดต่อไป

ทั้งนี้ เมื่อมาประกอบกับความกังวลใจทางด้านเศรษฐกิจโลกที่อาจเข้าสู่ภาวะชะลอตัวมากขึ้น โดยเฉพาะทางฝั่งสหรัฐฯและยุโรป ทำให้อาจเริ่มเห็นการโยกย้ายเม็ดเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยงไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นที่มองว่าน่าสนใจสำหรับการ Overweight ตลอดทั้งไตรมาส 3 ยังคงได้แก่พันธบัตรระยะยาว โดยเฉพาะทางฝั่งของสหรัฐฯ ที่มองว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปัจจุบันได้มีการ Price in ประเด็นการเข้มงวดนโยบายการเงินของ Fed ไปมากแล้ว

ส่วนของภาพ SET Index นั้น ต้องบอกว่าเป็นดัชนีที่มีค่าความผันผวนต่ำอย่างมากในช่วงหลัง จนทำให้กรอบการแกว่งตัวแคบตามไปด้วย และเป็นตลาดที่มีทิศทางอิงอยู่กับนักลงทุนต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทุกวันนี้เป็นกลุ่มนักลงทุนที่ครองสัดส่วนการมีส่วนร่วมในตลาดหุ้นไทยไปแล้วถึง 50% ด้วยความสำคัญของ Fund flow ที่ค่อนข้างมากนี้ การอ่านทิศทางของนักลงทุนต่างชาติจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งหากวิเคราะห์ไปกับทิศทางของค่าเงินบาทด้วยแล้วนั้น ประเมินว่าในเดือนก.ค.จะยังไม่เห็น Turning point ของทั้ง 2 ตัวแปรดังกล่าวแต่อย่างใด สอดรับกับรายงานตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนพ.ค.ล่าสุดที่ออกมาขาดดุลทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งที่ระดับ 3.7 พันล้านเหรียญฯ จนทำให้ล่าสุดบาทกลับมาเป็นสกุลเงินในเอเชียที่อ่อนค่ามากที่สุดอีกครั้งนับตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

สำหรับปัจจัยสำคัญที่สุดที่มองว่าจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นทั่วโลกในเดือนนี้ก็คือรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) ของสหรัฐฯที่จะออกมาในวันที่ 13 ก.ค. ซึ่งจะมีผลกระทบสำคัญต่อไปยังคาดการณ์ดอกเบี้ย Fed ในตลาด และการประชุม FOMC ในวันที่ 26-27 ก.ค. ส่วนรายงานเงินเฟ้อของไทยก็น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยจะออกมาในวันที่ 7 ก.ค. หากออกมาขยายตัวสูงเกินกว่า 7% จะยิ่งทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยแท้จริงระหว่างกับสหรัฐฯถูกทิ้งห่างมากขึ้นไปอีก ซึ่งจะกระทบกับค่าเงินบาทให้อ่อนค่าต่อไปได้ และน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ธปท.จำเป็นจะต้องขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในรอบถัดไปอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ในเชิงกลยุทธ์ยังคงแนะนำใช้การตั้งรับการเข้าซื้อ โดยยังคงมองจุดแนวรับแรกที่บริเวณดัชนี 1,500-1,530 จุด ส่วนแนวรับสำคัญในไตรมาส 3 มองไปยังบริเวณดัชนี 1,460-1,500 จุด ซึ่งจะทำให้ภาพ SET Index กลับมามีความน่าสนใจอย่างมากในเชิง Valuation จากทั้งมาตรวัด PBV, PE, และ EYG

ทั้งนี้ หากต้องถือครองหุ้นในช่วงนี้จริง มองว่าจำเป็นที่จะต้องเน้นไปยังกลุ่ม Defensive ซึ่งสามารถทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อไป ไม่ว่าจะเป็นหุ้นกลุ่มสุขภาพ ได้แก่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS, กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ได้แก่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค ได้แก่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC, บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH, บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP และกลุ่ม ICT ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC

ส่วนกลุ่มอื่นๆ ที่น่าสนใจสำหรับการ Selective ได้แก่ กลุ่มบริหารหนี้ ได้แก่ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า ได้แก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF กลุ่มเปิดเมือง/เปิดประเทศที่ยังคง Laggard ได้แก่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR และกลุ่มธนาคารที่ปลอดภัย ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL

Back to top button