PIMO ส่งซิกครึ่งปีหลังโต รับ “ดีมานด์มอเตอร์” พุ่ง ดันรายได้ทะลุ 1.2 พันล้าน

PIMO แนวโน้มครึ่งปีหลังเติบโตดีต่อเนื่อง พร้อมทุ่มงบ 85 ลบ. ขยายกำลังการผลิตมอเตอร์ AC ตอบรับยอดขาย มั่นใจรายได้ปีนี้ทะลุเป้า 1.2 พันลบ.


 นายวสันต์ อิทธิโรจนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIMO เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 11 ส.ค.65 ว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/65 บริษัทฯมีรายได้รวมอยู่ที่ 327.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83.23 ล้านบาท หรือ 34.10% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 244.07 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 30.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.07 ล้านบาท หรือ 24.77% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 24.51 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทฯมีรายได้จากการขาย 649.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 199.81 ล้านบาท หรือ 44% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 449.91 ล้านบาท

ส่วนผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย.65) บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 678.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 210.12 ล้านบาท หรือ 44.82% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 468.85 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 63.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.79 ล้านบาท หรือ 42.26% จากงวดเดียวกันของปีก่อนทำได้ 44.46 ล้านบาท

โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมีสาเหตุมาจากคำสั่งซื้อสินค้าจากทุกผลิตภัณฑ์ เช่น มอเตอร์แอร์ มอเตอร์ปั๊มน้ำ มอเตอร์กำลัง และมอเตอร์ปั๊มน้ำ BLDC เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับบริษัทฯ ยังคงมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ภายหลังจากที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐและสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับตัวดีขึ้น

สำหรับกำไรขั้นต้น ในไตรมาส 2/65 บริษัทมีกำไร 105.25 ล้านบาท คิดเป็น 16.2% เพิ่มขึ้น 18.94 ล้านบาท หรือ 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้น 86.31 ล้านบาท คิดเป็น 19.2 % โดยสาเหตุที่อัตรากำไรลดลง เป็นเพราะวัตถุดิบของปีนี้มีอัตราสูงกว่าเมื่อปีที่แล้ว

ส่วนกำไรสุทธิไตรมาสนี้ 63.25 ล้านบาท คิดเป็น 9.7% เพิ่มขึ้น 18.69 ล้านบาท หรือ 42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 44.56 ล้านบาท คิดเป็น 9.9%  ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายทางด้านการขายและการบริหารลดลงจาก 10.70% หรือคิดเป็น 50.16 ล้านบาท เหลือ 8.61% หรือคิดเป็น 58.44 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และอัตราผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้น เพิ่มขึ้นจาก 7.02% เป็น 16.42% และ 17.11% ตามลำดับ

สำหรับสินทรัพย์รวมของบริษัทฯ เติบโตขึ้นจาก 1,017.96 ล้านบาท เป็น 1,141.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123.59 ล้านบาท หรือคิดเป็น 12% ส่วนหนี้สินเป็นหนี้สินทางการค้าเป็นหลัก โดยเพิ่มจาก 341.46 ล้านบาท เป็น 398.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.49 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17% จากปีก่อน

ด้านอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 676.50 ล้านบาท เป็น 742.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66.11 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10% จากปีที่แล้ว และอัตราหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เพิ่มขึ้นจาก 0.50 เท่า เป็น 0.54 เท่า

ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังคงคาดว่ารายได้ปีนี้มีโอกาสทำได้ทะลุเป้าหมายที่ 1,200 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20% จากปี 2564 ที่ทำได้ 1,030.58 ล้านบาท หลังมีจำนวนลูกค้าและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ดังนั้นที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯ จึงมีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้น 667,922,249 หุ้น ในอัตราหุ้นละ0.02 บาท คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 13,358,444,98 บาท

โดยบริษัทฯ จะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date : RD) ในวันที่ 23 ส.ค. 65 และกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวในวันที่ 7 ก.ย. 65 ซึ่งอัตราการจ่ายปันผลต่อกำไรสุทธิคิดเป็น 21.12% ปัจจุบันบริษัทฯ มีนวัตกรรมใหม่ คือ มอเตอร์สำหรับเครื่องปรับอากาศซึ่งอยู่ระหว่างการจดลิขสิทธิ์ และมอเตอร์สำหรับจักยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการทดสอบของลูกค้า

สำหรับแผนการลงทุนในปี 65 บริษัทฯ ได้เข้าซื้ออาคารข้างเคียง เพื่อขยายกำลังผลิตมอเตอร์ AC เพิ่มกำลังผลิตแกน และเพิ่มกำลังผลิตแผนกโรเดอร์ ด้วยงบลงทุน 85 ล้านบาท นอกจากนี้ยังลงทุนติดตั้งหลังคาโซล่าเซลล์เพิ่มเติมตึก BLDC ด้วยงบลงทุน 7.74 ล้านบ้าน และลงทุนหุ่นยนต์ Automation และเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ประกอบด้วย โรบอทหยิบชิ้นงานแผนกฝา โรบอทหยิบชิ้นงานแผนกแกน และเครื่องฉีด Rotor Auto

ส่วนการคาดการณ์การเติบโตของบริษัทฯ คาดว่า ผลประกอบการในส่วนครึ่งปีหลังจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากการประเมินของ IMF ที่คาดว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกายังอยู่ในระดับดีทั้งในปีนี้และปีหน้า ส่วนประเทศไทยจะอยู่ที่ 2.8% และ 4% ตามลำดับ ส่งผลให้การดำเนินงานของบริษัทเติบโตไปในทิศทางที่ดีเช่นเดียวกัน

Back to top button