BJC วางงบลงทุนปีนี้หมื่นลบ. ลุยเพิ่มสาขาใหม่ ปักธงยอดขายโต 15%

BJC วางงบลงทุนปีนี้ 1.1 หมื่นลบ. เดินหน้าขยายสาขาใหม่ แย้มครึ่งปีหลังออเดอร์สั่งผลิตบรรจุภัณฑ์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง หลังโควิดคลี่คลาย มั่นใจยอดขายปี 65 โต 10-15%


นายรามี ปีไรแนน ผู้อำนวยการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC เปิดเผยว่า แนวโน้มยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังของปี 65 คาดว่าจะเห็นการเติบโตที่สูงขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ซึ่งสามารถทำยอดขายเติบโตได้ 11.5% หรือทำยอดขายรวมไปได้ 7.43 หมื่นล้านบาท โดยที่แนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังมองว่าจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย หลังจากโควิด-19 คลี่คลายลง ทำให้คนกลับมาทำงานและมีรายได้ ส่งผลต่อการบริโภคที่ฟื้นตัวกลับมา โดยที่กลุ่มธุรกิจซุปเปอร์มาร์เก็ตบิ๊กซีมีการเติบโตขึ้นค่อนข้างมาก

โดยที่ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) มีการเติบโตในครึ่งปีแรก 5.2% และมองว่าในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเห็นการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าครึ่งปีแรก จากการเห็นสัญญาณการเข้ามาจับจ่ายใช้สอยในสาขาของบิ๊กซีมาต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคและบริโภคยังมียอดขายที่กลับมาฟื้นตัวขึ้นดีต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงกลุ่มบรรจุภัณฑ์ของบริษัทที่มีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการในการสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์ของผู้ประกอบการต่างๆ ที่มีออเดอร์สั่งผลิตบรรจุภัณฑ์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปี 65 บริษัทยังคงมั่นใจว่ายอดขายรวมในปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้เติบโต 10-15% จากปีก่อน

อย่างไรก็ตามยังคงมีแรงกดดันกำไรอยู่บ้างในด้านของต้นทุนการผลิตที่ยังสูง โดยเฉพาะต้นทุนการผลิตกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์ที่สูงขึ้น จากราคาแก้ว และราคาก๊าซที่อยู่ในระดับสูง ทำให้กำไรจากการขายบรรจุภัณฑ์ปรับตัวลดลง ซึ่งทางบริษัทได้มีการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และทยอยปรับราคาขายเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรให้อยู่ในระดับที่ดี

สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังนี้บริษัทมีแผนขยายสาขาบิ๊กซี Hypermarket 1 สาขา, บิ๊กซี Foodplace 5 สาขา, บิ๊กซีมินิ ในไทย 100 สาขา และในกัมพูชา 50 สาขา ร้านขายยา Pure 7 สาขา และ SiriPharma 2 สาขา โดยที่ปัจจุบันบริษัทมีสาขารวมทั้งหมด 1,792 สาขา ทั้งในไทยและกัมพูชา โดยที่ในปีนี้วางงบลงทุนไว้ที่ 10,000 – 11,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่กว่า 60% ใช้รองรับการขยายสาขาใหม่ 21% ใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตกลุ่มบรรจุภัณฑ์ และที่เหลือใช้ในการลงทุนอื่นๆ

Back to top button