“บล.พาย” คัด 5 กลุ่มหุ้นปลอดภัย รับมือเศรษฐกิจถดถอย ชู TISCO-BCH ผลงานแกร่ง

“บล.พาย” จัดกลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ ประเมินกรอบ SET เคลื่อนไหว 1,600 – 1,640 จุด คัด 5 กลุ่มหุ้นปลอดภัย รับมือเศรษฐกิจถดถอย พร้อมชู 2 หุ้นเด่น TISCO-BCH คาดผลงานโตแกร่ง


บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) หรือ Pi คาดการณ์ตลาดหุ้น Dow Jones ในวันศุกร์ปรับฐานแรง 3% หลังประธาน FED ออกมาแถลงในการประชุม Jackson Hole ด้วยท่าทียังคงแสดงความกังวลกับเงินเฟ้อสหรัฐฯพร้อมระบุเป้าหมายเงินเฟ้อยังคงอยู่ที่ 2% แต่ก็ยอมรับว่าการนำเงินเฟ้อลงย่อมสร้างความเจ็บปวดแก่ภาวะเศรษฐกิจ สัญญาณดังกล่าวสอดคล้องกับที่เราประเมินมาตลอดว่าเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดแต่ยังการลดลงยังเป็นไปได้ยาก ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 1.7% รับแรงหนุนจากการที่ซาอุฯส่งสัญญาณจะลดกำลังการผลิต

โดยต้นสัปดาห์มอง SET INDEX จะปรับฐานลงรับแรงกดดันเชิงลบจากตลาดหุ้น Dow Jones ในวันศุกร์และเชื่อว่า Upside ตลาดหุ้นจะเริ่มจำกัดเนื่องจากประเมินว่านักลงทุนจะระมัดระวังมากขึ้นกับการเข้าซื้อหุ้นเพราะความกังวลกับดอกเบี้ยจะเริ่มมากขึ้นและยังประเมินได้ยากว่าดอกเบี้ยจะสิ้นสุดขาขึ้นเมื่อใด

นอกจากนี้ด้วยการที่ประธาน FED แถลงว่าความเจ็บปวดย่อมเกิดขึ้นหากจะควบคุมเงินเฟ้อยิ่งเป็นการสะท้อนว่าผลประกอบการฯ หลังจากนี้อาจเผชิญความเสี่ยงด้านขาลงถือเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นโดยตรง

ส่วนปัจจัยในสัปดาห์นี้ยังเน้นไปที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ (1) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐจาก CB Bloomberg ประเมินที่ 97.4 และตำแหน่งงานเปิดใหม่ที่ 10.4 ล้านตำแหน่ง หากออกมาร้อนแรงตลาดจะยิ่งเพิ่มความกังวลกับเงินเฟ้อและเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้น (2) ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐฯ (PMI) ในวันพฤหัสบดี Bloomberg ประเมินที่ 52.1

รวมทั้ง (3) ภาคแรงงานสหรัฐฯในวันศุกร์ Bloomberg คาดการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ 2.95 แสนตำแหน่งและอัตราการว่างงานที่ 3.5% พร้อมกับค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงที่ 0.4%  หากตัวเลขออกมาดีกว่าตลาดคาดการณ์ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและกดดันตลาดหุ้น

สำหรับความเห็นล่าสุดของ CME FED Watch ระบุว่า 61% ให้น้ำหนักที่ FED จะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 40% จากช่วงกลางเดือน ส.ค. นับว่าเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาช่วงเวลาดอกเบี้ยอยู่ระดับสูงก็มักตามมาด้วยเศรษฐกิจถดถอย เชิงกลยุทธ์ยังเน้นลดพอร์ตเช่นเดิมเพราะความกังวลเงินเฟ้อ ดอกเบี้ย และเศรษฐกิจถดถอยยังมิเลือนหายไป

ส่วนหุ้นแนะนำระยะสั้นเน้นไปที่ Defensive Stock อาทิ โรงพยาบาลและบำรุงสุขภาพ (บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH, บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG และบริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA) สื่อสาร (บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC และ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH)

รวมถึงหุ้นปันผลสูง (บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO) กลุ่มท่องเที่ยว (บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT, บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL, บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT และบริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SPA) ประเมินกรอบทั้งสัปดาห์ 1,600 – 1,640 จุด

โดยแนะนำ “ซื้อ” หุ้น TISCO ราคาเป้าหมาย 106 บาท แม้ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอาจฉุดอุปสงค์สำหรับรถยนต์มือหนึ่งลง แต่คาดว่าการเติบโตของสินเชื่อในปี 65 จะอยู่ในแดนบวกที่ 3% เมื่อเทียบจากปีก่อน หนุนจากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ สินเชื่อรถมือสอง และสินเชื่อออโต้แคชที่สูงขึ้น ที่ล้วนได้อานิสงส์จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ปรับดีขึ้น

โดยแนะนำ “ถือ” หุ้น BCH ราคาเป้าหมาย 21 บาท คาดกลุ่มประกันสังคมจะยังแข็งแกร่งใน ครึ่งหลังปี 65 และหลังจากนั้น หนุนจากฐานผู้ประกันตนจำนวนมากที่ 9.96 แสนราย และการเพิ่มงบของสำนักงานประกันสังคม

Back to top button