ทนายร้อง ป.ป.ช.สอบ “ไตรรัตน์” ใช้อำนาจเอื้อดีลควบ TRUE-DTAC

นักกฎหมาย ร้อง ป.ป.ช.สอบสวนพฤติกรรม “ไตรรัตน์” ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ใช้อำนาจนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการควบรวมกิจการระหว่าง TRUE-DTAC ให้บอร์ด กสทช. พิจารณา


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพรชัย เวศย์วิบุล นายและนักกฎหมาย เดินทางเข้ายื่นหนังสือที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เรียกร้องให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. และดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการ กสทช. ว่าได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในการเสนอเอกสารเพื่อเข้าสู่การประชุม การให้ถ้อยคำ หรือ บิดเบือนข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย แถลงต่อสื่อเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดในทางเอื้อประโยชน์ ให้เกิดการควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC โดยไม่สนใจขั้นตอนของกฎหมาย

นายพรชัย ระบุอีกว่า เป็นที่ทราบดีว่า กสทช. ต้องพิจารณากฎหมายแม่บทและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง ต้องปฏิบัติหน้าที่ตาม รัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.ที่จัดตั้งในฐานะองค์กรอิสระ ที่มีหน้าที่กำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมอย่างเป็นอิสระ โดยต้องไม่ยินยอมให้ผู้ใดมาแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช. ไม่อย่างนั้นอาจถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ โดยเฉพาะการกระทำของรักษาการเลขาธิการ กสทช.

จากผลการศึกษาของอนุกรรมการชุดต่างๆ และของ TDRI ปรากฏชัดว่า หากปล่อยให้มีการควบรวมกัน จะก่อให้เกิดการผูกขาดแบบถาวร ส่งผลต่อราคาที่ผู้บริโภคจะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน และกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่ ให้ไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก ซึ่ง กสทช. มีอำนาจตามกฎหมายของตนที่จะพิจารณาไม่อนุมัติให้เกิดขึ้นได้  แต่ปรากฏว่า รักษาการเลขาธิการ กสทช. กลับบิดเบือน ชงเรื่องให้ กสทช. ว่ามีอำนาจเพียงแค่รับทราบรายงาน และกำหนดมาตรการเฉพาะเพื่อควบคุมภายหลังได้เท่านั้น แต่ไม่มีอำนาจที่จะไม่อนุมัติการควบรวมได้ ซึ่งขัดต่อความเห็นของอนุกรรมการด้านกฎหมายที่ กสทช. ตั้งขึ้นมา รวมถึงความเห็นของ นักวิชาการ สภาผู้บริโภค อาจารย์นิติศาสตร์ต่างๆ ต่างยืนยันว่า ถ้ามองในแง่ข้อกฎหมาย กสทช. มีอำนาจ  อีกทั้งสำนักงาน กสทช. ได้เคยไปให้การต่อศาลปกครอง ในคดีหมายเลขดำที่ 775/2565 ว่า กสทช.มีอำนาจพิจารณาที่จะอนุมัติหรือไม่อนุมัติ  แต่กลับมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ยังพบว่า มีความผิดปกติในการดำเนินงานของรักษาการเลขาธิการ กสทช. ในประเด็นการแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด เป็นที่ปรึกษาอิสระ เนื่องจากมีผู้บริหารระดับสูงของ TRUE เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่มีความเกี่ยวโยงกันทั้งทางตรงและทางอ้อม แม้ว่า กมธ.วิสามัญ พิจารณาศึกษาผลกระทบกรณีการควบรวมกิจการโทรคมนาคมระหว่าง TRUE กับ DTAC และการค้าปลีก – ค้าส่ง สภาผู้แทนราษฎร จะเคยมีข้อเสนอทักท้วง คุณสมบัติของที่ปรึกษาอิสระนั้นอาจไม่มีความเป็นอิสระจริง รวมทั้งอาจขัดต่อหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกกรรมการอิสระที่ กสทช. ได้มีการกำหนดไว้ แต่สำนักงาน กสทช. โดย ผู้ถูกร้องเรียน กลับละเลย ไม่ตรวจสอบแต่อย่างใด แต่ยังยืนยันที่จะใช้ความเห็นของที่ปรึกษาอิสระรายเดิม รวมถึงสำนักงาน กสทช. ก็ยังไม่เคยชี้แจงให้ กสทช. ทราบว่ามีประเด็นดังกล่าวจริงหรือไม่ ซึ่งหาก กสทช. พิจารณาไปแล้ว ภายหลังมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติของที่ปรึกษา ก็จะทำให้มติที่ออกมาไม่ชอบด้วยกฎหมายได้

นอกจากนี้รายงานที่ ที่ปรึกษาอิสระรายนี้ ก็ไม่มีข้อมูลที่ครบถ้วน แม้ว่าจะมีการร้องขอให้จัดทำเพิ่มเติมมาใหม่ แต่ที่ปรึกษารายนี้กลับปฏิเสธ โดยต่อมา สำนักงาน กสทช.ได้เป็นผู้จัดทำข้อมูลในส่วนนี้เอง จึงมีประเด็นว่าจะเป็นผลทำให้กระบวนการพิจารณาของ กสทช. ไม่ถูกต้องไปด้วยหรือไม่ รวมถึงรักษาการเลขาธิการ กสทช.ก็ละเว้นและไม่ดำเนินการโต้แย้งใดๆ กลับช่วยดำเนินการทำเสียเอง ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ของตน อันเป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้อื่นโดยมิชอบ

ต่อมา เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2565 ได้มีการเปิดเผยต่อสื่อมวลชน จากรักษาการเลขาธิการ กสทช. ว่าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตีความอำนาจการพิจารณาการควบรวมว่า กสทช. ไม่มีอำนาจอนุญาตการรวมธุรกิจ มีเพียงอำนาจในการกำหนดเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะ เท่านั้น  แต่จากข้อเท็จจริงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นในทางตรงกันข้ามว่า กสทช. มีอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในการพิจารณาอนุญาตในกรณีการรวมธุรกิจที่มีลักษณะเป็นการถือครองธุรกิจประเภทเดียวกัน ซึ่งทำให้สาธารณชนเกิดความเข้าใจผิดถึงอำนาจหน้าที่ของ กสทช. เกิดความสับสนต่อผู้บริโภคทั่วประเทศ ที่มีความคาดหวังต่อการทำหน้าที่ของ กสทช.

แม้ว่าหลังจากนั้น รักษาการเลขาฯ ได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ให้ข่าว แต่ผลหลังจากที่ข่าวปรากฎออกไปในครั้งแรกนั้น ทำให้ราคาหุ้นของ TRUE และ DTAC ที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากและราคาตกลงในเวลาต่อมา

นายพรชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า จากข้อเท็จจริงและหลักฐานที่ปรากฏอย่างชัดแจ้ง เห็นได้ว่าการกระทำของ นาย ไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการเลขาธิการ กสทช. ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เข้าข่ายเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญา ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  ท้ายที่สุด ยังมีพฤติกรรมส่อความร่ำรวยผิดปกติ จึงขอให้ ป.ป.ช.พิจารณาตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงการยื่นบัญชีทรัพย์สินและการเพิ่มขึ้นของทรัพย์สินอย่างละเอียดด้วย

Back to top button