“ดาวโจนส์” ปิดลบเกือบ 300 จุด วิตกเศรษฐกิจถดถอยกดดันตลาด

“ดาวโจนส์” ปิดลบเกือบ 300 จุด นักลงทุนวิตก “เฟด” เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ ฉุดเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยกดดันตลาด โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 32,920.46 จุด ลบ 281.76 จุด หรือลดลง 0.85%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลดลงในวันศุกร์ (16 ธ.ค.65) โดยปรับตัวลงเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน และยังติดลบเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกันด้วย เนื่องจากนักลงทุนมีความวิตกเพิ่มขึ้นว่า การเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อควบคุมเงินเฟ้อนั้น จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 32,920.46 จุด ลดลง 281.76 จุด หรือ -0.85%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,852.36 จุด ลดลง 43.39 จุด หรือ -1.11% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,705.41 จุด ลดลง 105.11 จุด หรือ -0.97%

ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 1.7%, ดัชนี S&P500 ลดลง 2.1% และดัชนี Nasdaq ลดลง 2.7% โดยดัชนีทั้ง 3 ตัวติดลบ 2 สัปดาห์ติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.

ส่วนตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวลงนับตั้งแต่เฟดตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% ตามคาดเมื่อวันพุธ (14 ธ.ค.) ขณะที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดส่งสัญญาณว่า เฟดอาจจะคุมเข้มนโยบายการเงินมากขึ้น และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะแตะระดับสูงสุดที่ 5% ในปี 2566 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2550

ด้านความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดคนอื่น ๆ ทำให้เกิดความวิตกมากขึ้นด้วย โดยนายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์กเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ว่า ยังคงมีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่คาดไว้ในปีหน้า และไม่คาดว่า เศรษฐกิจจะถดถอยจากการที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเชิงรุก

ส่วนนางแมรี ดาลี ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโกกล่าวว่า มีเหตุผลที่จะเชื่อว่า ทันทีที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดแตะระดับสูงสุด อัตราดอกเบี้ยอาจจะอยู่ที่ระดับนั้นไปจนถึงปี 2567

ตลาดการเงินคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% อีกอย่างน้อย 2 ครั้งในปีหน้า และอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ระดับประมาณ 4.8% ในปีหน้า ก่อนลดลงสู่ราว 4.4% ภายในสิ้นปี 2566

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐยังถูกกดดัน หลังจากเอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 44.6 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน จากระดับ 46.4 ในเดือนพ.ย. โดยดัชนี PMI ยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคธุรกิจของสหรัฐอยู่ในภาวะหดตัว และหดตัวเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน

ตลาดหุ้นนิวยอร์กมีแนวโน้มลดลงที่จะเกิดปรากฏการณ์ “ซานต้า แรลลี่” (Santa Rally) ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นของตลาดในช่วงสิ้นปีนี้ เนื่องจากธนาคารกลางส่วนใหญ่ของโลกได้ทำการคุมเข้มนโยบายการเงิน

ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ “ซานต้า แรลลี่” มักเกิดขึ้นเป็นเวลา 7 วันทำการ โดยมีขึ้นในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปีปัจจุบัน รวมถึง 2 วันแรกของปีใหม่

โดยหุ้นเกือบทั้ง 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปรับตัวลง นำโดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ร่วงลงกว่า 2%

แต่หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส อิงค์ ปิดพุ่งขึ้น 2.82% สวนทางตลาด หลังเจพี มอร์แกนปรับเพิ่มคำแนะนำลงทุนในหุ้นตัวนี้จาก “คงน้ำหนักการลงทุน” เป็น “เพิ่มน้ำหนักการลงทุน”

ส่วนหุ้นอะโดบี อิงค์ พุ่งขึ้น 2.99% สวนทางตลาดด้วย หลังคาดการณ์ผลกำไรไตรมาสแรกสูงกว่าคาด

Back to top button