ฉลุย! กองทรัสต์ SSTRT โอนทรัพย์สิน 190 ล้านตามแผน ดัน AUM โตแตะ 1.7 พันล้าน

กองทรัสต์ “SSTRT” โอนทรัพย์สินรับ ปีกระต่ายทอง มูลค่า 190 ล้านบาท ตามแผนเพิ่มทุนครั้งที่ 1 หนุนมูลค่าทรัพย์สินรวมแตะ 1.7 พันล้านบาท ขึ้นแท่นผู้บริหารทรัพย์สินคลังเก็บเอกสารรายเดียวในไทยที่เป็น Freehold และให้ผลตอบแทน (Dividend Yield) สูงถึง 7%


นายเอกชัย ลิ้มศิริวัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอสที รีท แมเนจเมนท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทรัพย์ศรีไทย (“SSTRT”) เปิดเผยว่า ภายหลังที่กองทรัสต์ SSTRT ได้มีการเสนอขายหน่วยทรัสต์ในการเพิ่มทุนครั้งที่ 1 ซึ่งจำหน่ายได้ 34.9 ล้านหน่วย รวม 202.42 ล้านบาท และได้เข้าลงทุนในทรัพย์สินมูลค่า 190 ล้านบาท ประกอบด้วย ที่ดิน 4 ไร่ 1 งาน 68.9 ตารางวา และ อาคารคลังเอกสาร จำนวน 4 อาคาร ซึ่งเป็นอาคารเก็บรักษาเอกสาร (Document Storage Services Center) ให้กับบริษัท ห้างร้าน และหน่วยราชการต่าง ๆ อาทิ

1. อาคารคลังเอกสารหมายเลข 36 พื้นที่อาคารประมาณ 1,750 ตารางเมตร , 2. อาคารคลังเอกสารหมายเลข 37 พื้นที่อาคารประมาณ 1,750 ตารางเมตร , 3. อาคารคลังเอกสารหมายเลข 38 พื้นที่อาคารประมาณ 1,750 ตารางเมตร และ 4. อาคารคลังเอกสารหมายเลข 39 พื้นที่อาคารประมาณ 1,750 ตารางเมตร พร้อมทั้งได้นำทรัพย์สินที่จะลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ออกให้ SST เช่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับส่วนของหุ้นเพิ่มทุนได้เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 3 ม.ค.66 ที่ผ่านมา

นอกจากนี้หลังจากการลงทุนเพิ่มเติมครั้งนี้แล้วกองทรัสต์ SSTRT จะมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน คลังเอกสาร งานระบบสาธารณูปโภคและอุปกรณ์ เพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น เป็น 18 อาคาร จากทรัพย์สิน ณ ปัจจุบัน จำนวน 14 อาคาร ซึ่งจะส่งผลให้มีมูลค่าทรัพย์สินรวมAUM (Asset Under Management)ของกองทรัสต์ฯ แตะที่ระดับ 1,700 ล้านบาท และถือเป็นกองทรัสต์ฯ เพียงรายเดียวในประเทศไทยที่เป็นกองทรัสต์ประเภทคลังเอกสาร และเป็นกองทรัสต์ประเภท Freehold 100%

อีกทั้งคาดว่าจะสามารถจ่ายประโยชน์ตอบแทน ประมาณ 0.41 บาทต่อหน่วย สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2565 ถึง วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 คิดเป็นอัตราจ่ายประโยชน์ตอบแทน (Dividend Yield) 7% ซึ่งถือเป็นระดับผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงเหมาะสมกับแนวโน้มการเติบโตของคลังเอกสารที่เติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมในระยะยาว

นายเอกชัย ยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวโน้มความต้องการใช้คลังเอกสารว่า ความต้องการใช้คลังเอกสารยังคงมีทิศทางที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะประเทศไทยยังคงมีข้อบังคับทางกฎหมาย และกำหนดให้บริษัทต่างๆ ต้องเก็บเอกสารไว้ เพื่อตรวจสอบหรืออ้างอิงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยเฉพาะ กลุ่มสถาบันทางการเงิน (แบงก์) กลุ่มประกัน กลุ่มค้าปลีก (ห้างสรรพสินค้า) ซึ่งกำหนดให้ต้องมีการจัดเก็บเอกสารในรูปแบบต้นฉบับกระดาษ อาทิ เอกสารทางบัญชี เอกสารทางการเงิน เอกสารนิติกรรมต่างๆ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการตรวจสอบ กำกับดูแล และสืบค้นตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดอย่างน้อย 5-10 ปี

อย่างไรก็ตามในอนาคต SST ยังมีพื้นที่คลังหลายหลัง รวมถึงมีที่ดินเปล่ารอการพัฒนาเป็นคลังสินค้าและคลังเอกสารอีก 17 ไร่ ซึ่งพร้อมให้ทางกองทรัสต์เข้าลงทุนหากสนใจ จากปัจจัยดังกล่าวเป็นเครื่องตอกย้ำให้เห็นถึงศักยภาพความแข็งแกร่งของทั้ง SST และ กองทรัสต์ SSTRT

Back to top button