MINT วางกลยุทธ์ “Back to growth” ทุ่ม 1.5 หมื่นล้าน ขยายธุรกิจ-เปิดโรงแรม 70 แห่งทั่วโลก

MINT ปักธงรายได้ปี 66 โต 20% ตั้งงบ 1.5 หมื่นล้าน ภายใน 3 ปี Back to growth โรงแรม-อาหาร-ไลฟ์สไตล์ ลุยเปิดโรงแรมเพิ่ม 70 แห่งทั่วโลก เตรียมออกหุ้นกู้กว่าหมื่นล้าน ดอกเบี้ย 6.10% จองซื้อ 7-9 ก.พ.นี้


มร.ดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT กล่าวว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจของ MINT ในปี 2565 ที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากปัจจัยการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจโลก รวมถึงสถานการณ์ของภาคการท่องเที่ยวที่กลับเข้าสู่สภาวะก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอานิสงส์เชิงบวกดังกล่าว ได้ส่งผลให้ผลประกอบการของทุกกลุ่มธุรกิจในเครือไมเนอร์ ได้แก่ ไมเนอร์ โฮเทลส์ ไมเนอร์ ฟู้ด และไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์ มีอัตราการทำกำไรที่เป็นบวกทั้งหมด โดยผลประกอบการรวมในปีที่ผ่านมาสามารถพลิกกลับมาทำกำไร และมีรายได้รวมสุทธิมากกว่าการดำเนินงานของบริษัทในช่วงเวลาก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 ในปี 2562

โดยปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทได้สร้างรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการฟื้นตัว ทำให้ในปี 2566 บริษัทพร้อมเดินหน้า “กลับสู่การเติบโต” (Back to growth) อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการวางแผนกลยุทธ์ 3 ปี (ปี 2566-2568) มุ่งเน้นในการเสริมสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งและขยายพอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพและอัตราการทำกำไร การผนึกกำลังพันธมิตรเพื่อการเติบโต รวมทั้งการปรับปรุงศักยภาพด้านดิจิทัล บุคลากร และการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ต่อปี

สำหรับประเทศไทยได้มีการคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นจากราว 11 ล้านคนในปี 2565 เป็น 22 ล้านคนในปี 2566 โดยตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอีกหลังจากการเปิดประเทศจีนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ และจะช่วยในการกระตุ้นกำลังซื้อให้กลับมาคึกคัก อันเป็นผลดีต่อทุกกลุ่มธุรกิจของ MINT ซึ่งจะได้รับอานิสงส์เชิงบวกดังกล่าวอีกด้วย

โดยกลุ่มธุรกิจ ไมเนอร์ โฮเทลส์ ในปี 2566 พบสัญญาณการเติบโตที่แข็งแกร่ง จากแนวโน้มการจองห้องพักล่วงหน้าที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่มีสัญญาณการชะลอตัวของความต้องการของลูกค้าในการเดินทางพักผ่อน โดยบริษัทจะมีการเพิ่มอัตราการเข้าพักและการปรับขึ้นราคาห้องพักให้สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นภายหลังการยกเลิกข้อจำกัดในการเดินทาง พร้อมขยายการให้บริการนักเดินทางกลุ่มธุรกิจ ควบคู่กับการผลักดันกลยุทธ์เชิงการตลาดให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่กลุ่มธุรกิจ ไมเนอร์ ฟู้ด ยังคงมุ่งสร้างรายได้ผ่านทุกช่องทางการขาย ในขณะที่เสริมสร้างโครงสร้างต้นทุนเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรโดยรวมต่อไป ผ่านความคิดริเริ่มใหม่ๆ เช่น ร้านค้ารูปแบบใหม่ แพลตฟอร์มลอยัลตี้โปรแกรมระหว่างลูกค้าและแบรนด์ ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อสร้างความตื่นเต้นทางการตลาด ซึ่งจะเป็นเป้าหมายหลักในการเป็นผู้นำทางด้านร้านอาหารและครองส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทต่อไป

ส่วนกลุ่มธุรกิจไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์ ได้มีการขานรับการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซ โดยการดำเนินธุรกิจซึ่งมุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางมากขึ้น รวมถึงการสร้างประสบการณ์การซื้อสินค้าที่ผสมผสานได้อย่างกลมกลืนระหว่างช่องทางหน้าร้านและช่องทางออนไลน์ ผ่านการเลือกสรรผลิตภัณฑ์ การตั้งราคา และการเพิ่มช่องทางการชำระเงิน ควบคู่ไปกับการรักษาฐานลูกค้าเดิม เพิ่มลูกค้าใหม่ และการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ซึ่งทั้งหมดนี้ MINT เชื่อมั่นว่าในปี 2566 ภาพรวมบริษัทจะมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยการต่อยอดแรงหนุนจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ รวมถึงเป็นการสร้างความมั่นคงเพื่อการเติบโตในระยะยาวของธุรกิจ ซึ่งจะสามารถสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัทได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้งบลงทุนของบริษัทในช่วง 3 ปี ตามแผนกลยุทธ์ Back to growth ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 1-1.5 หมี่นล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนของบริษัทในเครือ โดยส่วนใหญ่จะใช้ในการลงทุนโรงแรม โดยเฉพาะการขยายโรงแรมไปยังตะวันออกกลางมากขึ้น โดยเฉพาะซาอุดิอาราเบีย ซึ่งในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าบริษัทยังมีแผนการเปิดโรงแรมในเครืออีกกว่า 70 แห่งทั่วโลก

“มั่นใจผลประกอบการไตรมาส 4/2565 จะเติบโตแข็งแกร่ง ส่งผลให้ภาพรวมปี 2565 ออกมาสดใส เนื่องจากบริษัทมีการใช้กลยุทธ์ปรับเพิ่มราคาในกลุ่มธุรกิจ ซึ่งสามารถมาชดเชยต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นได้” มร.ดิลลิป กล่าว

ด้าน นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน MINT เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการเดินหน้าสร้างการเติบโตเต็มรูปแบบ (Back to growth) ในปี 2566 นี้ ตลอดจนเพื่อเป็นการต่อยอดความแข็งแกร่งและความมั่นคงของบริษัทตลอด 50 ปี  MINT จึงมุ่งสร้างสายสัมพันธ์แห่งความสำเร็จ ภายใต้แนวคิด Bond with us” ระหว่างบริษัท ผู้บริโภค และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคน โดยได้เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ชุดใหม่ ครั้งที่ 1/2566 วงเงินหุ้นกู้ 1.1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น วงเงินออกหุ้นกู้ 9 พันล้านบาท และกรีนชูอีก 2 พันล้านบาท อัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 6.1% ซึ่งมีอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกหุ้นกู้ในระดับ “A” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” และอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ชุดใหม่นี้ ในระดับ “BBB+” โดยบริษัท ทริส เรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2565

โดยบริษัทคาดว่าจะเปิดจองซื้อหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ชุดใหม่ แก่ประชาชนเป็นการทั่วไประหว่างวันที่ 7 – 9 กุมภาพันธ์นี้ ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำทั่วประเทศ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส โดยบริษัทเชื่อว่าจะสามารถใช้ประโยชน์จากแบรนด์และทรัพย์สินที่มีคุณภาพสูงเพื่อสร้างรายได้ และผลักดันผลกำไรและผลตอบแทนให้กับผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดได้อย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่องในระยะยาว ซึ่งผู้สนใจลงทุนสามารถติดต่อสถาบันการเงินทั้ง 11 แห่งได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

Back to top button